พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Dewar's 12 Year Old Special Reserve

ด้วยว่าภาษีเหล้าที่เพิ่มขึ้นในบ้านเราทำให้เจ้านี่ค่าตัวขยับจากเดิมตอนที่หิ้วมาเมื่อปีก่อน 950.- ตอนนี้เป็น 1000+ ซ่ะแล้ว แต่ช่วงนี้ที่ Tops Supermarket กำลังจัดรายการค่าตัวจะอยู่ที่ประมาณ 899.- ครับ เจ้าตระกูลนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นมักจะเป็น Dewar's White Label เป็นส่วนใหญ่ครับ ค่าตัวประมาณ 600+ ครับ



เหล้าตระกูลนี้ยอมรับว่ายังไม่เคยลองมาก่อน พอคิดจะลองเลยมาเล่นที่ตัว 12 ปีไปเลยดีกว่า  วูบแรกที่เปิดดมกลิ่นคล้ายไปทางตระกูล JW แต่ดมไปดมมามันไม่ใช่ล่ะ กลิ่นนุ่มกว่าเยอะเลยครับ 


สีตอนที่อยู่ในขวดออกแนวเข้มนิดๆ เมื่อรินออกมาลงแก้วแล้วสีออกแนวทองใสๆ ครับ

ส่วนกลิ่นเมื่อรินออกมาแล้วจะออกแนวหวานๆ เหมือนน้ำผึ้งกลมกล่อม มีกลิ่นของแอลกอฮอล์น้อยมากๆ ครับ 
รสชาติเมื่อสัมผัสลิ้นครั้งแรกหวานละมุ่นอย่างแรงครับ 
ไร้ซึ่งความบาดลิ้นบาดคอ กลมกล่อมมากๆ เมื่ออมไว้ในปาก
และเมื่อกลืนผ่านลำคอทิ้งความหอมละมุ่นชวนให้อยากสัมผัสอีกหลายๆ รอบครับ
เจ้าตัวนี้ไม่ต้องผสมให้เสียรสชาติจะดีกว่านะครับ 

สรุปแล้ว ตัวนี้แหล่มครับ   ต้องลองแล้วจะลืม JW Gold Reserve ไปได้เลยครับ ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่าประมาณ ฿ 300-400.-
รสชาติที่นุ่มนวล กลิ่นหอมละมุ่นของน้ำผึ้ง และทิ้งท้ายความหวานอวลไว้ในปาก
สมดังคำขวัญของ Sir Thomas Robert Dewar ที่ให้ไว้สำหรับเหล้าของแกว่า
"The quality of the article should be its greatest advertisment."

Glenmorangie Single Malt Whisky Cellar 13

สบโอกาสเปิดลองเจ้าตัวนี้หลังจากห่างหายจากตระกูลนี้ไปนานเชียวครับ
ต้องยอมรับว่าไม่ผิดหวังครับสำหรับเหล้าตระกูลนี้ เสียแต่ว่าเจ้าตัวนี้ค่อนข้างหนักไปนิดสำหรับผมครับกับความแรงที่ 43% Alc.

สำหรับเจ้านี่ตัวเค้าโฆกษณาตัวเองว่าเป็น Frist Cask ที่ทำการบรรจุแล้วนำไปเก็บไว้ที่ Cellar 13 ของโรงบ่มครับ


เรื่องสีนั้นเนื่องจากว่าเป็นการเก็บบ่มเพียง 10 ปี สีจึงยังไม่เข้มเท่าไหร่ ออกแนวทองใสๆ เนียนตาดีครับ


ส่วนในเรื่องของขานั้นจัดว่าค่อนขาดีเชียวครับ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไหลเอื่อยๆ ดีครับ
ส่วนของกลิ่นนั้นกลิ่น Alc ค่อนข้างแรงไปนิดกับความแรงที่ 43% Alc เจือด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของโอ๊ก



มาที่เรื่องรสชาติกันดีกว่าครับ ไม่มีคำว่าผิดหวังสำหรับเหล้าตระกูลนี้ครับ นุ่มนวลชวนฝัน ลื่นคอ ไม่มีอาการบาดลิ้นบาดคอ และบาดปากครับ ทำให้กระดกเพลินเกินห้ามใจ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของควันคล้ายกับที่เรากินพวกอาหารรมควันประทับใจดีครับ ตั้งแต่ไปเล่น Laphoraig (ตัวนี้เดี๋ยวมีรีวิวให้อ่านครับ) เมื่อคราวก่อนโน้น ทำเอาผมจับกลิ่นรมควันได้ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับ ออกจะประทับใจกับกลิ่นนี้ไปเสียแล้วครับ

Afer Taste ทิ้งความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นแบบจิบได้เพลินๆ ชวนหัวทิ่มแบบไม่รู้ตัวได้อยู่เชียวครับ
พร้อมทั้งกลิ่น ...รมควันจางๆ อยู่ในปากอย่างอ้อยอิ่งชวนให้ลิ้มลองได้อย่างไม่รู้เบื่อ
ดื่มเจ้านี่คงต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ครับว่าอย่าเพลินเชียวครับ
คราวหน้าคงต้องคอยห้ามใจ ไม่ให้คล้อยตามความหวานละมุ่น จนทำให้   เหมือนคราวนี้ครับ  เดี้ยง

BUSHMILLS 10 Year



BUSHMILLS เหล้ายี่ห้อนี้ผมพึ่งรู้จักครับ เป็นเหล้า Irish ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าพูดถึง Irish Whiskey ผมจะเคยดื่มแต่ JAMESON เท่านั้น

คนที่ทำให้ผมรู้จัก้หล้ายี่ห้อนี้คือคุณPutsiland จาก http://www.montfort27.com/

โดยคุณPutsiland ได้แนะนำไว้ใน Irish Whiskey Father of all Whiskey http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=1586.0

คุณPutsiland ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจที่ทำให้ต้องหาBUSHMILLS มาดื่มก็คือ

๑.ข้าวที่ใช้เป็นข้าวบาเร์ที่ปลูกเฉพาะในไอแลนย์เท่านั้น ขอเปรียบเทียบอย่างนี้ครับถ้าฝรั่งมาเมืองไทยอยากรู้ว่าคนไทยกินข้าวประเภทไหน เราก็ให้เขาทานข้าวหอมมะลิซึ่งผลิตในไทยและรสชาติไทยแท้ๆ ถึงอยู่อีกมุมโลกกินข้าวหอมมะลิรสชาติก็ยังเหมือนเดิมเพราะข้าวหอมมะลิจากไทย ปลูกในไทย และเป็นรสชาติแท้ๆที่คนไทยทานอยู่มานานด้วยเหตุผลเดี่ยวกัน เมื่อเราดื่มBushmills เราจะได้รสชาติแท้ๆของข้าวบาเรย์จากประเทศไอแลนย์ เพราะเขาข้าวบาเรย์ที่ปลูกในประเทศไอแลนย์เท่านั้น

๒.ไม่มีการรมควันเพื่อปรุงแต่งรสชาติจึงไม่มีอิทธิพลของของพีท(Peat)ในเหล้า

๓.ง่ายต่อการดื่มเพราะเหล้าถูกกลั่นถึงสามครั้งทำให้วิสกี้นุ่มดื่มง่ายกว่าเก่า

๔.ในขั้นตอนสุดท้ายของการบ่มในถังเหล้าเชอรี่หรือถัง Port หรือ ถังเบอเบินร์อันนี้เป็นการเพิ่มรสชาติในเหล้า แต่รสชาติเมนหลักของเหล้ายังอยู่เหมือนเดิมทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นว่ารสชาติกลางของไอริสย์วิสกี้ควรเป็นอย่างไรก่อนจะดื่มตัวอื่นตามจะเข้าใจง่ายขึ้นเพราะวิสกี้ต่างๆจะมีลีลาต่างกัน ถ้าเราเอา Bushmills เป็นหลักแล้วค่อยๆเพิ่มอย่างอื่นเข้าไปเราจะเข้าใจวิสกี้มากขึ้น......

และนอกจากนี้ BUSHMILLS เป็นโรงกลั่นเหล้าที่ถูกกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือมีใบกลั่นเหล้าตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๖๐๘ นะครับ

แบบนี้จะให้ผมอดใจไม่ลองดื่ม BUSHMILLS ได้อย่างไรครับ




















BUSHMILLS 10 Year



สี : สีเหลือทองอ่อนๆ

กลิ่น : หอมคล้าบกลิ่นผลไม้ หอมชื่นใจดีครับ

รส : รสนุ่ม เป็นเหล้าที่เนื้อบาง แต่ก็รู้สึกถึงรสผลไม้ และ มีรสหวานตาม

After Taste ได้ทิ้งความหอมของผลไม้ และมีหวานเล็กน้อย หอมอวลไว้ในปากนานปานกลาง และผมยังรู้สึกถึงกลิ่นโอ๊คค้างอยู่ที่คอ

รสชาติโดยรวม BUSHMILLS เป็นเหล้าที่รสนุ่มนวล ดื่มง่ายไม่บาดคอ มีความหอมคล้ายผลไม้ หอมแบบตรงไปตรงมาเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

Glenmorangie Single Malt Whisky ตอนที่ 2

Glenmorangie The Original 10 YO

เมื่อแรกสัมผัสกลิ่นนั้นหอมอวลยวนเย้าใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ กลิ่น Malt และ Oak ที่รุมเร้าเข้ามาเมื่อแรกเปิดขวดออกมา เมื่อรินออกมากลิ่นนั้นยิ่งยั่วยวนให้อยากลองมากขึ้นไปอีก สีนั้นออกแนวสีทองใสๆ   ขาของเหล้านั้นไม่หนักมาก แต่ก็ไม่เล็กเกินควรความ ในเรื่องของรสชาตินั้นขอบรรยายแบบบ้านๆ ต่อครับ ว่ารสชาตินั้นนุ่มนวลชวนให้อยากลิ้มลองแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบที่เพื่อนๆ เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าขืน on the rock นี่มีหวังแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง คงได้ต่อขวดใหม่แน่ๆ ครับ ยิ่งแบบ neat ด้วยแล้วยิ่งหอมฟุ้งเชียวครับ แบบนี้ทำให้อยากลองตัวต่อยอดของเจ้านี่เข้าแล้วล่ะสิ   

ในเรื่องของ After taste นั้นเจ้าขวดนี้ทำได้ค่อนข้างหน้าประทับใจครับ
กับความอวลที่ไม่มากไม่น้อย ไม่สั้นและก็ไม่ยาวเกินควรเรียกได้ว่ากำลังดีเชียวครับ





Glenmorangie Quinta Ruban 12 YO

ยอมรับโดยดีครับว่าเพลานี้หลงเสน่ห์ ของ Single Malt เข้าอย่างจังครับ
ด้วยความหอมหวานละมุ่นนุ่มลิ้น และไม่ hang over เมื่อตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ก็เลยตัดใจถอยเจ้าตัวนี้ Glenmorangie The Quinta Ruban จากห้างดอกบัวที่ราคาคงหาได้ยากแล้วเวลานี้ 1650.- ครับ ส่วนใหญ่ที่เห็นเดี๋ยวนี้ 2000+ ครับ 

เมื่ออ่านดีๆ พบว่าเจ้าตัวนี้มีการบ่มสองครั้งก่อนออกขายครับ โดยจะบ่มในถัง Bourbon เก่าก่อนบ่มซ้ำอีกครั้งในถังที่เรียกว่า Ruby Port ตามคำแปลอย่างงูๆ ปลาๆ ของผมเข้าใจว่าเป็นถังไวน์เก่าครับ ทำให้กลิ่นและรสชาติที่ได้นุ่มละมุ่นกว่าเจ้าตัว Original ที่เหลือแต่ขวดไปแล้วเพลานี้  

กลิ่นเมื่อเปิดขวดหอมกลิ่นของ Oak และกลิ่นคล้ายกับ Bourbon ลอยมาแตะจมูกบ้านๆ ของผมอย่างแรงครับ กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์นั้นเรียกไว้ว่าเบามากๆ จนแทบจะไม่มีเลยครับ เมื่อเทียบกับ JW Blue Label ขวดเล็กที่มีอยู่ครึ่งขวดเล็ก ผมว่า Blue ยังต้องถอยให้กับเจ้านี่ครับ 

รสชาติเมื่อแรกสัมผัสกับลิ้นบ้านๆ ของผมนั้นประทับใจมากมายครับ จนเรียกได้ว่าแทบจะลืมเลือน JW Blue ที่ว่าแน่ๆ ไปได้เลยครับ ความหอมหวานที่ค้างคาอยู่ในปากเมื่อกลืนลงไปหมด ทิ้งความหวานไว้ที่ปลายลิ้นทำให้อยากสัมผัสได้อย่างชวนถวิลหาครับ

ตอนนี้เริ่มกลายเป็นพวก non-ice ไปแล้วครับ ด้วยความอยากสัมผัสกับรสชาติที่แท้จริง รสชาตินั้นออกจะดุดันเมื่อเทียบกับ Original แต่ความหอมยาวนานที่ทิ้งไว้ผิดกันเยอะครับ ประทับใจมากมายกับกลิ่นและรสชาติ จากลิ้นบ้านๆ ของผมว่ามีความหวานของคาราเมลและความหอมของวนิลาเจืออยู่ด้วยครับ อันนี้ไม่ confirm นะครับพี่น้อง   
ว่างๆ ก็หามาลองกันได้ตามสะดวกครับ ส่วนผมนั้นขอไปนั่งละเลียดที่เหลือติดก้นขวดเล็กน้อยก่อนดีกว่าครับ 
คงต้องหาอีกตัวที่เหลือ Glenmorangie The Lasanta Sherry Cask Extra Matured มาลองให้ได้ดีกว่าครับ  
ว่าแต่ว่ามันจะหาราคาแบบนี้ได้อีกหรือปล่าวหว่า  




Glenmorangie Lasanta

สำหรับตัวนี้เป็นเหล้าที่ไป Finished ใน Sherry oak cask จากสเปนครับ ไม่เหมือนกับ The Quinta Ruban ที่ Finished ใน Port Cask จากโปรตุเกสครับ

กลิ่นจะออกแนวแรงกว่า quinta ruban ด้วยความแรงที่ 46%vol ครับแต่ก็จัดว่าค่อนข้างน้อยกว่าพวก Blended whisky ครับ เมื่อเททิ้งไว้สักครู่กลิ่นของ Oak จะเด่นมากขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับอากาศครับแต่จะออกแนว Strong กว่าตัว Quinta ที่ให้ความหอมแบบนุ่มนวลครับ 

รสชาติเมื่อแรกสัมผัส รู้สึกถึงความอุ่นๆ กรุ่นอยู่ในปาก ปนด้วยความร้อนแรง ออกแนวเผ็ดร้อน
เมื่อทิ้งค้างไว้จะพบกับความเร่าร้อนในรสชาติ และเมื่อได้กลืนลงคอจะพบกับความสดชื่นที่ชวนถวิลหาในความร้อนแรงของเจ้านี่ครับ

After Taste นั้นเยี่ยมครับ ความร้อนแรงแฝงความเร่าร้อนแบบที่ชวนถวิลหาไว้ให้ ไม่เหมือนกับ Quinta Ruban ที่ทิ้งความนุ่มนวลชวนฝันไว้ เปรียบ Lasanta เหมือนสาวน้อยที่เร่าร้อน ส่วน Quinta Ruban เหมือนสาวหวานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ครับ  

The Lasanta  ขวดนี้เหมาะในยามเหนื่อยล้าต้องการความเร่าร้อนมาฟื้นฟูกำลังกายกำลังใจครับ แต่หากต้องการความนุ่มนวลชวนฝันหรือผ่อนคลายความตึงเครียดแล้วละก็แนะนำ quinta ruban ในงบที่ไล่เรี่ยกันครับ ถ้างบน้อยแต่ต้องการความนุ่มนวลแล้วล่ะก็ Gentleman Jack เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ

ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

Tarisker 10 years


Talisker 10 years


สี : สีเหลืองอำพัน


กลิ่น : กลิ่นควันนำมาเลยครับ ตามมาด้วยกลิ่นคล้ายๆกลิ่นไอทะเลแฝงอยู่ครับ


รส : เหมื่อนอมควันไว้ในปากเลยครับ นอกจากกลิ่นควันอวนในปากแล้ว ยังมีรสหวานบางๆ เปรียวเล็กน้อยตอนปลาย และรสเค็มบางๆติดปลายลิ้น เนื้อของเหล้าจัดอยู่ในกลุ่มเนื้อแน่น อวบอิ่ม เต็มไม้เต็มมือ(Full Body) กลิ่นรสในปากอยู่นานมาก(หลายนาที่เลยครับ) เต็มไปด้วยความกลิ่นและรสของควันทั้งในช่องปาก และ โพรงจมูก กลิ่นควันอบอวนอยู่ในปากครับ


Talisker 10ปี เป็นเหล้าที่มีความนิ่มนวลมากไม่บาดปากและคอ


ลองใส่น่ำแข็ง น้ำแข่งได้ช่วยไล่กลิ่นควันที่ฉุ่นเชียวออกไปได้มาก ทำให้กลิ่นกลมกล่อมขึ้น(มีBlanceที่ดีขึ้น/แค่ปริมาณกลิ่นลดลง) แต่ในส่วนของรสชาตินันถึงใส่น้ำแข็งช่วยแต่แนวของรสชาติคงเส้นคงวามาก...ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นและรสของควัน เพียงแต่ลดปริมาณและความรุนแรงลงจากการลองใส่น้ำแร่ผสมไปเล็กน้อย ช่วยลดกลื่นควันลงนิดหน่อย และทำให้กลิ่นหวานๆชัดขึ้นมา...ผมชอบกลิ่นที่ผสมน้ำแร่ลงไปหน่อยแบบนี้ครับ รสชาติและกลิ่นนั้นรู้สึกว่ามีสิ่งที่ให้ค้นหามากขึ้น...กลิ่นและรสของควันลดลง(แต่ก็ยังมีกลิ่นควันและรสอมควันที่เป็นตัวนำอยู่นะครับ)ทำให้กลิ่นและรสที่แฝงอยู่ชัดเจนน่าค้นหามากขึ้น ปริมาณกลิ่นยังแรงดีใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรเสีย Talisker ก็คือ Talisker ถึงแม้จะดื่มวิธีไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลิ่นและรสของ Talisker ได้

Highland Park 12 years



Highland Park 12 years
สี : เหลืออ่อน

กลิ่น : มีกลิ่นควันนำ(แต่น้อยกว่า Tarisker) กลิ่นตาม(กลิ่นรอง)ออกหวานๆเล็กๆผสมกลิ่มผลไม้จ่างๆ ซ่อนใต้กลิ่นควัน ลองใส่น้ำแร่ไปเล็กน้อย กลิ่นยังมีปริมาณที่ดีอยู่ แต่ไล่กลิ่นควันได้นิดหน่อย ทำให้กลิ่นหอมหวานที่อยู่รองลงไปเปิดเผยมากขึ้น โดยร่วมของกลิ่นของความหลากหลายมากกว่าTarisker ใครที่ไม่ชอบกลิ่นควันมากๆแบบ Tarisker ก็ลองมาชิม Highland Park 12y ดูครับ

รสชาติ : เนื้อกลางๆไม่แนนมาก รสนุ่มนวลไม่บาดปากและคอ(แต่นุ่มสู้ Tarisker ไม่ได้ครับ) พอดื่มผ่านคอแล้วกลิ่นหอม(กลิ่นควันนำ)หอมอบอวนในช่องปากและขึ้นจมูกยาวพอสมควร หากผสมน้ำแร่อาจทำให้เนื้อของเหล้าบางไปจนเคียวไม่มันได้นะครับ ถึงแม้ Highland Park 12y จะมีรสชาติ และ กลิ่นของควันนำ แต่หากนำไปเทียบกับ Tarisker 10y แล้ว Highland Park ยังมีกลิ่นควันเป็นรอง แต่ก็ให้กลิ่นและรสที่แต่ต่างออกไป

สำหรับ Highland Park 12y ผมไม่ชอบผสมน้ำ หรือ น้ำแร่ครับ มันทำให้รสและกลิ่นบางเกินไปครับ

ถึงจะป็นเหล้าที่มีกลิ่นควันมาก แต่มีกลิ่นหอมหวานเป็นพระรองตามมาข้างท้าย จะว่าเป็นเหล้าออกแนวมืดก็ไม่ใช่ครับ สมมุติว่า 1 คือมืดมิด เข้มๆ แล้ว 10 คือสว่างโปร่งบาง.... Highland Park 12y อยู่ประมาณ 3.5-4 นะครับ

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

Aberlour 10 Year


Aberlour 10 Year



Aberlour 10 Year เปิดดื่มแรกๆผมไม่ค่อยชอบเลยครับ....รสชาติมันรุ่นแรงมากไปแต่ไปๆมาๆ...กับเป็นเหล้าตัวหนึ่งที่ชอบมากในระดับราคาพันต้นๆนะครับ



สี : สีเหลืองน้ำตาล(เหลืออำพัน)



กลิ่น : ปริมาณกลิ่นแรงมาก กลิ่นหอมสดชื่นของเครื่องเทศและมินต์ ทดลองผสมน้ำแร่ไปเล็กน้อย...ปริมาณกลิ่นกลิ่นยังดีอยู่ แต่มีกลิ่นผลไม้ที่อมเปรียวเด่นขึ้นมา



รส : เป็นเหล้าที่มีโครงสร้างปลานกลางถึงหนัก(Medium - Full) แต่ก็ให้ความนุ่มนวลดี ไม่บาดคอ รสขมอมหวานเล็กน้อย หากผสมน้ำแร่ลงไปรสจะนุ่มนวลขึ้นและมีความหวานมากขึ้น



After Teste : กลิ่นรสในปากและโพรงจมูกแบบเรื่อยๆนวลๆนิ่มๆสะอาดๆ กลิ่นในปากรับรู้ถึงเครื่องเทศและผลไม้อมเปรียวเล็กน้อย



สรุปเลยแล้วกันครับ...Aberlour 10 Year จากที่ผมไม่ค่อยชอบในตอนแรกๆ กลายมาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านของผมเลยครับ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Glenmorangie Single Malt Whisky ตอนที่ 1


เนื่องจากคราวนี้นำเสนอเป็นตระกูล ดังนั้นบทความเรื่องนี้ขอนำเสนอเป็นตอนๆ นะครับ ในตอนแรกนี้ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ
Glenmorangie Single Malt Highland ในชุดนี้มี 3 รุ่นเท่าที่เห็นว่าวางขายอยู่ตามห้างในบ้านเรานะครับ






Glenmorangie The Original 10 Years Old ขวดที่เห็นในภาพนี้เป็นรุ่นเก่า ปัจจุบันหาได้ค่อนข้างยากพอควรแล้วครับ
Glenmorangie The Lasanta Sherry Cask Extra Matured 12 Years Old 
สำหรับเจ้าตัวนี้พิเศษกว่าตัว Original ด้วยการนำไปบ่มในถังเก่าของ Bourbon จากอเมริกาครับ 
จะไปเจ้าไหนนี่มิอาจทราบได้ แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นของ Jack Danial's อันนี้ด้วยความเข้าใจของผมเองนะครับ
เพราะจากที่อ่านจากเวปของ Jack Danial's นั้นเขาจะบอกว่าถังที่ใช้บ่มเหล้าของเขาจะใช้แต่เพียงครั้งเดียว
แล้วขายต่อให้กับผู้ผลิต Scotch Whisky ในสหราชอาณาจักรและสก๊อตแลนด์ครับ  
จากนั้นจะนำไปบ่มในถัง Sherry Wood จากอิตาลีต่อก่อนบรรจุลงขวดเพื่อขาย รวมเวลาในขั้นตอนทั้งสองอีก 2 ปีครับ








และตัวสุดท้าย  Glenmorangie The Quinta Ruban Port Cask Extra Matured 12 Years Old
สำหรับเจ้าตัวนี้ทางเวปไซด์แจ้งว่าเป็นการต่อยอดจาก Glenmorangie The Original 
ด้วยการนำไปบ่มในถังเก่าของ Bourbon จากอเมริกาครับ เช่นเดียวกันกับ The Lasanta 
แต่จะแตกต่างในขั้นตอนสุดท้ายโดยจะนำไปบ่มต่อในถัง Ruby Port หรือที่เรียกว่า Quinta (ถัง wine ของ Portugal)
รวมเวลาในขั้นตอนนี้เพิ่มอีก 2 ปีเช่นเดียวกันครับ

Suntory Yamazaki Single Malt 12 Year



Single Malt สัญชาติญี่ปุ่นขวดนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่นก็ว่าได้ครับ 
ส่วนใหญ่แล้ว Single Malt จะผลิตบนเกาะอังกฤษมากกว่าที่จะผลิตนอกเกาะครับ
แต่ญี่ปุ่นเป็นเพียงไม่กี่ชาติในโลกนี้ที่สามารถผลิตและเรียกตัวเองว่าเป็น Single Malt ครับ


สำหรับเจ้านี่ตั้งใจซื้อมาลองด้วยความติดใจในรสชาติของ Single Malt ที่ได้ลองมา
เลยเกิดอาการอยากลอง Single Malt สัญชาติญี่ปุ่นขวดนี้บ้างว่าจะเป็นอย่างไรด้วยค่าตัวประมาณ 2700+/-
ใครสนใจลองเดินมองๆ หาได้ที่ริมปิงแผนกสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นหรือ Tops Super Market ได้ครับ


เริ่มด้วยรินเบาๆ ลงในแก้วดมกลิ่นในหอมหวลของ malt และโอ๊กที่นำมาบ่มเมรัยขวดนี้
ที่มีกลิ่นดีไม่แพ้ Single Malt สัญชาติ Scotland ผมว่าเจ้านี่ยังจะหอมนุ่มกว่าครับ
จากนั้นก็จิบเพื่อพิสูจน์รสชาติครับ 
แจ่มครับ...  โป้ง นุ่มนวลละมุ่นคล่องคอดีครับ
การดื่มพวก Single Malt นี่ต้อง on the rock เท่านั้นครับ อย่าได้ผสมเชียวเสียของครับ ลองมาหลายครั้งแล้ว
ปล่อยให้น้ำแข็งค่อยๆ ละลายมาผสมเอาเองดีกว่าครับ ถ้าอยากเติมน้ำจริงๆ ให้นิดหนึ่งพอครับ ไม่งั้นรสชาติเสียหมดครับ


วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

สถานที่ที่อยากไปนั่ง เย็นย่ำก็ร่ำสุรา




ว่าด้วยเรื่องสุรามาก็เยอะแล้วครับ มาว่าเรื่องสถานที่ใกล้บ้านผมที่อยากไปล้อมวงนั่ง ตั้งวงดื่มในรูปแบบของ เย็นย่ำก็ร่ำสุรากันบ้างดีกว่าครับ


ที่ตรงนี้เป็นอ่างเก็บน้ำอเนกประสงค์ใกล้ๆ บ้านผมเองครับ แต่ถ้าไปนั่งจริง คงต้องพอ กย.15 ไปหลายห่อแน่ๆ ครับ
นั่งจิบสุราบางๆ เคล้าบรรยากาศริมน้ำ+ชายทุ่ง ลมเย็นๆ นั่งมองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา ในศาลาริมน้ำ


ชวนให้ผ่อนคลายยามเย็นได้ดีเชียวครับ หวังใจไว้สักวันอยู่เหมือนกันครับว่าจะไปนั่งเล่นชายทุ่งรับลมเย็นๆ
จิบสุรามองอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา แต่จะให้ไปคนเดียวก็เปล่าเปลี่ยวหัวใจอยู่เหมือนกันครับ
ขอไว้รอเพื่อนๆ มิตรรักคอสุรามาเยือน ค่อยเตรียม กย.15 สักโหลสองโหล
แล้วไปนั่งรับลมเย็นๆ ชายทุ่ง มองอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาด้วยกันดีกว่าครับ

Tennessee Whiskey VS Kentucky Whiskey



รอบนี้ขอนำท่านทั้งหลายมาพบกับการปะทะกันของอเมริกัน Bourbon
ระหว่าง Tennessee Whiskey VS Kentucky Whiskey
มวยคู่นี้ Kentucky Whiskey มีเปรียบครับ เนื่องจากว่าเป็นมวยคนละชั้น คงต้องมี rematch ล้างตาครับ
เนื่องว่าคู่ชกคราวนี้นั้นเป็นตัวที่มีอายุน้อยกว่าครับเรียกว่าไม่สมศักดิ์ศรีเท่าที่ควร 




ออกตัวก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง กำลังอยู่ในระหว่างการลองของครับ ว่าแล้วก็เข้าเรื่องก่อนเมาดีกว่าครับ
ในเรื่องของสีสรร นั้นไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ครับเรียกได้ว่าสี Amber หรือสีอำพันกันทั้งคู่ครับ
แต่ส่วนของ JB Black นั้นจะดูเข้มกว่าด้วยว่าเก็บบ่มนานกว่าด้วยเวลา 8 ปีครับ
ในเรื่องของกลิ่นนั้น JB Black ก็ออกตัวนำเช่นเคยด้วยเวลาการบ่มที่นานกว่าทำให้มีกลิ่นของแอลกอฮอล์บางกว่า JD ตัวปกตินี้ครับ
คงต่อมีการ Rematch ด้วยสิ่งที่ใกล้เคียงกัน เช่น JD Silver Select หรือ JD Gentleman Jack ครับ





ในเรื่องรสชาติไม่บอกก็คงเดาๆ กันได้ครับว่า JB Black ออกตัวนำด้วยความหวานของคาราเมล และความนุ่มนวลที่ไม่บาดลิ้นและคอครับ
ส่วน JD ตัวธรรมดานี่คงต้องบอกว่า ถ้าไม่มีตัวเปรียบเทียบนี่ผมให้ 8/10 ครับ แต่เมื่อมีการเทียบกันเช่นนี้แล้วเหลือแค่ 6/10 ครับ
เพราะความที่ยังไม่ได้ที่จึงมีรสเข้มไปนิดบวกกับการบาดคอหน่อยๆ
ส่วนในเรื่องของกลิ่นหลังจากลิ้มรสแล้วนั้นความอวลก็ยังต้องยกให้กับ JB Black อยู่ดีครับแต่ถ้าเป็นตัว JD Silver Select นี่อาจใกล้เคียงกันครับ
ความแตกต่างของวัตถุดิบทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างกัน สรุปว่าทั้งสองตัวนั้นโดดเด่นไปคนละอย่าง แต่ความที่คู่ชกคราวนี้ไม่ค่อยจะสมศักดิ์ศรีเท่าที่ควร คงต้องมีการ Rematch อีกสักรอบกับคู่ชกที่ใกล้เคียงกันครับ  ช่วยไม่ได้



ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม+ข้อคิดเห็นจากก๊วนมิตรรักคอสุราของผมได้ที่นี่ครับ เชิญคลิ๊กครับ

Jim Beam Black Label





Jim Beam Black Label ตัวนี้เท่าที่เห็นในไทยส่วนใหญ่จะเป็น White Label ซ่ะมากกว่าครับ
ตัวนี้ผมได้มาจากท่าขี้เหล็กครับ ค่าตัว 550. สำหรับ 75 Cl. และ 750.- สำหรับ 1 L. ครับ
สำหรับในบ้านเราเท่าที่เห็นก็อยู๋ราวๆ 1000+ ครับ






ว่ากันว่าร้อนแรงพอดูสำหรับ Kentucky Straight Bourbon Whiskey ตัวนี้




แก้วแรกตามธรรมเนียม on the rock ที่เตรียมไว้เพื่อการนี้   เพื่อหากลิ่นและรสชาติจริงๆ
กลิ่นหอมถังไม้โอ๊คและข้าวโพดตามธรรมเนียมของ American Bourbon





แต่หากเทียบกับ JD แล้วต้องยอมรับว่ากลิ่นของ JD นั้นอวลกว่าครับ
ส่วนรสชาตินั้นนุ่มลิ้นกว่า JD ตัวธรรมดาครับ และไม่บาดลิ้น บาดคอ แต่ร้อนแรงตามสไตล์ของ Bourbon




เติมด้วยน้ำแร่ลงไปหน่อยนิด แล้วเขย่าเล็กน้อยให้กลิ่นอวลขึ้น 
ยอมรับว่าเจ้าตัวนี้ไม่ธรรมดา ดีกว่า Scoth หลายตัวในราคาใกล้เคียงกันครับ
อันนี้ต้องออกตัวว่าความเห็นส่วนตัวใบแบบลิ้นบ้านๆ ล้วนๆ ครับ



ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม+ข้อคิดเห็นจากก๊วนมิตรรักคอสุราของผมได้ที่นี่ครับ เชิญคลิ๊กครับ

Jameson Irish Whiskey 8 YO





ด้วยเหตุว่ากฎหมายของไอแลนด์กำหนดว่า วิสกิ้ที่ผลิตในประเทศต้องได้รับการบ่มไว้อย่างน้อย 8 ปี ทำให้ Jameson Irish Whiskey ตัวนี้น่าลิ้มลองครับ  ดื่มชากันดีก่า ในราคาย่อมเยาว์ราวๆ 700-800 บาทครับ




เมื่อสบโอกาสได้ลองก็จัดได้ว่าค่อนข้างประทับใจกับกลิ่นและรสชาติที่นุ่มละไมดีครับ 
คุ้มค่าสมราคาสำหรับวิสกี้ราคาเบาๆ จาก Irish ตัวนี้ครับ
กลิ่นออกแนวของผลไม้จำพวกลูกพีช กลิ่นและรสชาติก็คล้ายกับ JW Black Label แต่ราคาเบากว่ากันเยอะครับ
เหมาะมากที่จะทดแทนกันได้สบายครับ ดื่มสบายๆ เมาพับหลับเหมือนกันครับ



ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม+ข้อคิดเห็นจากก๊วนมิตรรักคอสุราของผมได้ที่นี่ครับ เชิญคลิ๊กครับ

Johnnie Walker Gold Label Reserve

Johnnie Walker Gold Label Reserve ที่เป็นการนำ Gold Label 18 YO มาทำ Down Grade 
เพื่อให้เป็นเมรัยชั้นตลาดในราคาย่อมเยาว์ ให้ผู้คนทั่วไปสามารถซื้อหากันได้ง่ายขึ้นครับ
ขอเล่าเกร็ดเล็กน้อยของความเจ็บใจกับเมรัยขวดนี้ให้ได้ฟังกันครับ
ด้วยความคิดพิศดารของตัวกระผมเองที่เห็นว่า
งดเหล้าเข้าพรรษาน่ะมันชิวๆ แค่ 3 เดือน ผมก็เลยตั้งใจว่าจะงดช่วงออกพรรษาซ่ะ 9 เดือน เหอะๆ แค่ 2 ปีเท่ากับพวกที่งด 3 เดือนทำตั้ง 6 ปีเลย  
ที่นี้เรื่องมันก็เลยเกิดเมื่อวันออกพรรษาปีกลายครับ วันนั้นจำได้ว่ามีนัดกับเพื่อนๆ ของผมนี่แหละครับ ก็ไปที่อุดมมิตรตามปกติ
ป่ะเข้ากับพ้องเพื่อน 
เหอะๆ ไม่ต้องบอก็รู้ใช่มั๊ยครับ เพื่อนผมลากเจ้านี่แหละ มาฉลองออกพรรษา แล้วผมก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ  
ช่างทำกันได้จริงๆ เลย ด้วยความเจ็บใจเจ้านี่ก็เลยถูกลากเข้ามาอยู่ในรั้วบ้านผมซ่ะงั้น




เคยบอกกล่าวไว้ว่าจะลองเจ้าตัวนี้เป็นตัวแรก ด้วยความข้องใจเมื่อปีกลาย ที่เพื่อนๆ ผมนำมาประหนึ่งเหมือนเย้ยในวันออกพรรษาปีที่แล้ว
ว่าแล้วก็เตรียมแก้วก่อน

ต่อด้วยน้ำแข็งแบบ Rock ที่คราวนี้จัดทำด้วยน้ำแร่ Evian


จากนั้นนำเจ้าตัว Gold label reserve ที่แบ่งใส่ขวดเล็กนำไปแช่ Freeze ไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมาวางประกบ
ว่ากันว่าการดื่มเจ้านี่ต้องทำแบบนี้


บรรจงรินลงไปช้าๆ เหล้าข้นๆ เหนียวนิดๆ ด้วยความเย็นจัดละเลงลงบนก้อนน้ำแข็งอย่างงดงาม


แล้วก็ไปขโมยช็อคโกแลตของลูกสาวที่ซื้อมาไว้
เพราะว่ากันว่าการดื่ม Gold Label ต้องคู่กับช็อคโกแลต


อมช็อคโกแลตไว้ในปากให้ละลายนิดๆ แล้วจิบเจ้า Gold Label ตามเข้าไป  ดื่มชากันดีก่า
อิๆ ไม่มีรูปประกอบครับ แต่ขอบอกว่ารสชาตินั้นสุโค่ยครับ  inlove นี่ขนาดว่าเป็นแค่รุ่น Reserve น่ะครับ  โป้ง
แบบนี้คงต้องเอาเจ้าตัวจริง 18 ปีมาลองด้วยซะแล้ว  โป้ง

จบการรีวิววันแรกกับแก้วแรกในรอบเก้าเดือนไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ



ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม+ข้อคิดเห็นจากก๊วนมิตรรักคอสุราของผมได้ที่นี่ครับ เชิญคลิ๊กครับ