หุบเขาแห่งกวางขวดนี้เหมาะสำหรับในยามที่เราต้องการความอบอุ่น และการปลอบโยนได้เป็นอย่างดีเชียวครับ ในวันเหงาๆ หยิบเจ้านี่มานั่งเป็นเพื่อนคลายความเหงาได้เป็นอย่างดีครับ
เริ่มที่สีเช่นเคยนะครับ มองไม่ออกเมื่อตอนที่อยู่ในขวดด้วยความที่ขวดนั้นเป็นสีเขียวมรกตสดใสครับ เมื่อรินอออกมาสีทองสดใสเป็นประกายดูดีเชียวครับ เมื่อแกว่งเพื่อดูขานั้น ขนาดของขากลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไหลเอื่อยๆ ไม่เร็วไม่ช้า ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานครับ
ในเรื่องของกลิ่นนั้น สดชื่นด้วยกลิ่นของผลไม้เจือกลิ่นโอ๊กบางๆ ได้กลิ่นแล้วชวนให้สดชื่นเชียวครับ
ว่ากันที่รสชาติต่อเลยนะครับ อุ่นๆ หวานๆ ติดปลายลิ้นดีชะมัดครับ สำหรับจิบแรกที่ได้ลิ้มลอง ทิ้งกลิ่นหอมของควันจากโอ๊กจางๆ ไว้ในปาก ไม่มีอาการ Burn ที่ลิ้นและลำคอเมื่อไหลผ่านลำคอ
บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าสมราคาสำหรับเหล้าตระกูลนี้เช่นกันครับ
After Taste นั้นต้องบอกว่า นุ่มนวล หวานละมุ่นติดปลายลิ้น สมคำร่ำลือที่ได้ยินได้ฟังมาครับ ทิ้งความอยากไว้ให้ต้องรินเพิ่มเพื่อลิ้มลองได้เรื่อยๆ เรียกความสดชื่น ให้กลับคืนมาได้เป็นอย่างดีครับ
พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ
ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
The Macallan Fine Oak 10Yo
สำหรับผมแล้ว The Macallan Fine Oak 10 Yo จัดเป็นเหล้าที่คุ้มค่าเกินค่าตัวครับ เจ้าตัวนี้เหมาะกับนิยามที่ว่า "เหล้าดีไม่จำเป็นต้องแพง และบ่มนาน" ได้เป็นอย่างดีเลยครับ ผมได้มาจากชายแดนแม่สายเหมือนกันครับ ค่าตัวที่ 1000+ นิดหน่อยครับ
เริ่มที่สีเช่นเคยนะครับ สีทองอำพันอ่อนๆ ไม่เข้มออกแนวทองใสๆ ขาของเหล้าค่อนข้างเล็ก แต่ไม่เบา เนื่องจากผ่านการหมักบ่มเพียงแค่ 10 ปีครับ
ในด้านของกลิ่นนั้น ข้อมูลจากผู้ผลิต เจ้า Macallan Fine Oak ขวดนี้ผ่านการบ่มจากถังถึงสามชนิด กลิ่นที่ได้จึงค่อนข้างผสมกัน แต่ค่อนข้างลงตัวเชียวครับ จากการดมกลิ่นด้วยจมูกบ้านๆ อย่างผมนั้นได้กลิ่นคล้ายๆ พวกอเมริกันวิสกี้ เจือด้วยกลิ่นของไม้ Sherry Oak ที่หลังๆ มานี่เริ่มจะหลงเสน่ห์ของมันเข้าแล้วล่ะครับ
รสชาติ นั้นค่อนข้างลงตัว แม้ว่าจะเป็นเหล้าที่ผ่านการบ่มเพียงแค่ 10 ปี กลิ่นของเครื่องเทศที่ถือเป็นจุดเด่น และเอกลักษณ์ของเหล้าตระกูล The Macallan นำหน้า แต่ไม่เผ็ดร้อนแบบตัว Sherry Oak 12 Yo ตามด้วยความหอมหวานของคาราเมล ไว้ที่ปลายลิ้น ทิ้งกลิ่นหอมๆ ของโอ๊กไว้เป็นอย่างสุดท้ายเมื่อไหลผ่านลำคอ อย่างไม่มีอาการบาด หรือที่เรียกว่า Burn ครับ
After Taste นั้นจัดว่าน่าประทับใจกว่าตัว Sherry Oak 12 Yo และ Elegancia ที่ได้ลองไปก่อนหน้านี้ อาจเป็นที่ความชอบส่วนตัวของผมที่นิยมความหวาน มากกว่าความเข้มและเผ็ดร้อนของเครื่องเทศที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล้าตระกูลนี้ก็ได้ครับ เจ้านี่ทิ้งความหวานละมุ่นไว้ค่อนข้างยาว ชนิดที่ชวนให้อยากรินเพิ่มเพื่อลิ้มลองเรื่อยๆ เชียวครับ ชักประทับใจกับเหล้าตระกูลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ กับความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนในแต่ละรุ่นครับ
สรุปแล้วตัวนี้จัดเป็นอีกตัวที่เหมาะกับการสังสรรในยามพลบค่ำกับเพื่อนสนิท เพื่อผ่อนคลาย นั่งพูดคุยกับแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ได้สบายๆ ครับ และที่สำคัญที่สุดคุณภาพนั้นเกินค่าตัวเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับผม
เริ่มที่สีเช่นเคยนะครับ สีทองอำพันอ่อนๆ ไม่เข้มออกแนวทองใสๆ ขาของเหล้าค่อนข้างเล็ก แต่ไม่เบา เนื่องจากผ่านการหมักบ่มเพียงแค่ 10 ปีครับ
ในด้านของกลิ่นนั้น ข้อมูลจากผู้ผลิต เจ้า Macallan Fine Oak ขวดนี้ผ่านการบ่มจากถังถึงสามชนิด กลิ่นที่ได้จึงค่อนข้างผสมกัน แต่ค่อนข้างลงตัวเชียวครับ จากการดมกลิ่นด้วยจมูกบ้านๆ อย่างผมนั้นได้กลิ่นคล้ายๆ พวกอเมริกันวิสกี้ เจือด้วยกลิ่นของไม้ Sherry Oak ที่หลังๆ มานี่เริ่มจะหลงเสน่ห์ของมันเข้าแล้วล่ะครับ
รสชาติ นั้นค่อนข้างลงตัว แม้ว่าจะเป็นเหล้าที่ผ่านการบ่มเพียงแค่ 10 ปี กลิ่นของเครื่องเทศที่ถือเป็นจุดเด่น และเอกลักษณ์ของเหล้าตระกูล The Macallan นำหน้า แต่ไม่เผ็ดร้อนแบบตัว Sherry Oak 12 Yo ตามด้วยความหอมหวานของคาราเมล ไว้ที่ปลายลิ้น ทิ้งกลิ่นหอมๆ ของโอ๊กไว้เป็นอย่างสุดท้ายเมื่อไหลผ่านลำคอ อย่างไม่มีอาการบาด หรือที่เรียกว่า Burn ครับ
After Taste นั้นจัดว่าน่าประทับใจกว่าตัว Sherry Oak 12 Yo และ Elegancia ที่ได้ลองไปก่อนหน้านี้ อาจเป็นที่ความชอบส่วนตัวของผมที่นิยมความหวาน มากกว่าความเข้มและเผ็ดร้อนของเครื่องเทศที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล้าตระกูลนี้ก็ได้ครับ เจ้านี่ทิ้งความหวานละมุ่นไว้ค่อนข้างยาว ชนิดที่ชวนให้อยากรินเพิ่มเพื่อลิ้มลองเรื่อยๆ เชียวครับ ชักประทับใจกับเหล้าตระกูลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ กับความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนในแต่ละรุ่นครับ
สรุปแล้วตัวนี้จัดเป็นอีกตัวที่เหมาะกับการสังสรรในยามพลบค่ำกับเพื่อนสนิท เพื่อผ่อนคลาย นั่งพูดคุยกับแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ได้สบายๆ ครับ และที่สำคัญที่สุดคุณภาพนั้นเกินค่าตัวเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับผม
The Macallan Elegancia 12 Yo
สำหรับ The Macallan Elegancia ขวดนี้จัดเป็นรุ่นพิเศษครับ
ตัวนี้ผมได้มาจากด่านชายแดนแม่สาย กับค่าตัวประมาณ 2,xxx.- ครับ
เริ่มที่สีนั้น ออกทองอำพันเจือด้วยสีออกแดงนิดๆ ด้วยการหมักบ่มจากถัง Sherry Oak จากสเปน ขาของเหล้านั้นค่อนข้างหนาและหนัก จัดเป็นเหล้าที่บ่มได้ที่กำลังดีครับ
ในด้านของกลิ่นนั้น ผสานกันได้อย่างลงตัว ระหว่างกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลไม้จำพวกส้ม วนิลา และ Oak กลิ่นของ Alc ค่อนข้างแรงเมื่อรินออกจากขวดใหม่ๆ แต่จะเบาลงเมื่อทิ้งให้สัมผัสกับอากาศภายนอกสักพักหนึ่งครับ
รสชาติ เมื่อได้สัมผัสนั้นมีความผสมผสานกันอย่างดี ระหว่างความเผ็ด เจือด้วยความหวาน ติดเปรี้ยวนิดๆ กลิ่นควันจางๆ ขึ้นจมูกใช้ได้เชียวครับ
After Taste นั้น ค่อนข้างน่าประทับใจกับการผสานกันอย่างลงตัว ทิ้งความหวานไว้ที่ปลายลิ้น เจือด้วยความเผ็ดร้อนเล็กน้อย และ กลิ่นควันอ่อนๆ ที่ทิ้งค้างอยู่ภายในปาก ชวนให้ถวิลหาอย่างอ้อยอิ่ง ไม่ผิดหวังครับ สำหรับ The Macallan ขวดนี้น่าประทับใจกว่าตัว Sherry Oak 12 Yo ที่ได้ลองไปก่อนหน้านี้ครับ
สำหรับ The Macallan Elegancia ขวดนี้เหมาะกับการนั่งจิบเล่นๆ พูดคุยเพื่อการผ่อนคลายกับเพื่อนฝูงหลังอาหารมื้อค่ำได้เป็นอย่างดีเชียวครับ
ตัวนี้ผมได้มาจากด่านชายแดนแม่สาย กับค่าตัวประมาณ 2,xxx.- ครับ
เริ่มที่สีนั้น ออกทองอำพันเจือด้วยสีออกแดงนิดๆ ด้วยการหมักบ่มจากถัง Sherry Oak จากสเปน ขาของเหล้านั้นค่อนข้างหนาและหนัก จัดเป็นเหล้าที่บ่มได้ที่กำลังดีครับ
ในด้านของกลิ่นนั้น ผสานกันได้อย่างลงตัว ระหว่างกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลไม้จำพวกส้ม วนิลา และ Oak กลิ่นของ Alc ค่อนข้างแรงเมื่อรินออกจากขวดใหม่ๆ แต่จะเบาลงเมื่อทิ้งให้สัมผัสกับอากาศภายนอกสักพักหนึ่งครับ
รสชาติ เมื่อได้สัมผัสนั้นมีความผสมผสานกันอย่างดี ระหว่างความเผ็ด เจือด้วยความหวาน ติดเปรี้ยวนิดๆ กลิ่นควันจางๆ ขึ้นจมูกใช้ได้เชียวครับ
After Taste นั้น ค่อนข้างน่าประทับใจกับการผสานกันอย่างลงตัว ทิ้งความหวานไว้ที่ปลายลิ้น เจือด้วยความเผ็ดร้อนเล็กน้อย และ กลิ่นควันอ่อนๆ ที่ทิ้งค้างอยู่ภายในปาก ชวนให้ถวิลหาอย่างอ้อยอิ่ง ไม่ผิดหวังครับ สำหรับ The Macallan ขวดนี้น่าประทับใจกว่าตัว Sherry Oak 12 Yo ที่ได้ลองไปก่อนหน้านี้ครับ
สำหรับ The Macallan Elegancia ขวดนี้เหมาะกับการนั่งจิบเล่นๆ พูดคุยเพื่อการผ่อนคลายกับเพื่อนฝูงหลังอาหารมื้อค่ำได้เป็นอย่างดีเชียวครับ
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
The Balvenie DoubleWood 12 Yo
ส่งท้ายเดือนนี้กับ The Balvenie DoubleWood 12 Yo ครับ
หลังจากอิดออดกับเจ้านี่มาค่อนข้างนานแล้วนะครับ
วันนี้ขอเริ่มจากกลิ่นต่างจากทุกครั้งที่เริ่มจากสีนะครับ
เนื่องจากว่ารินเตรียมไว้แล้วไปนั่งทำงานต่อ
หลังจากอิดออดกับเจ้านี่มาค่อนข้างนานแล้วนะครับ
วันนี้ขอเริ่มจากกลิ่นต่างจากทุกครั้งที่เริ่มจากสีนะครับ
เนื่องจากว่ารินเตรียมไว้แล้วไปนั่งทำงานต่อ
แต่ก็ทิ้งไว้ได้พักเดียวก็ต้องวางมือจากงานครับ
เพราะกลิ่นที่ค่อยๆ ฟุ้งขึ้นมาจนอดที่จะต้องวางมือจากงาน
มาละเลียดกลิ่นวนิลาหอมๆ เจือด้วยกลิ่นของ Oak มอลต์ น้ำผึ้ง
เพราะกลิ่นที่ค่อยๆ ฟุ้งขึ้นมาจนอดที่จะต้องวางมือจากงาน
มาละเลียดกลิ่นวนิลาหอมๆ เจือด้วยกลิ่นของ Oak มอลต์ น้ำผึ้ง
และผลไม้ที่ผสานกันได้อย่างลงตัวเชียวครับ
ด้านสีนั้นออกทองเจือด้วยสีแดงนิดๆ ด้วยสีของถัง Sherry Oak ในการบ่มรอบสอง
ด้านสีนั้นออกทองเจือด้วยสีแดงนิดๆ ด้วยสีของถัง Sherry Oak ในการบ่มรอบสอง
ทำให้มองได้เพลินตาเชียวครับ
ขานั้นจัดว่าขนาดเล็กถึงกลางๆ ครับ ไม่ใหญ่แต่หนักไหลช้า ถือว่าบ่มกำลังได้ที่เชียวครับ
ขานั้นจัดว่าขนาดเล็กถึงกลางๆ ครับ ไม่ใหญ่แต่หนักไหลช้า ถือว่าบ่มกำลังได้ที่เชียวครับ
รสชาติค่อนข้างซับซ้อน แต่ผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่มีอาการ Burn ที่ลิ้น
เหมือนเหล้าที่ผ่านการบ่มถัง Sherry Oak ตัวอื่น ที่เคยลองผ่านมา
คงเพราะตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของพวกเครื่องเทศเหมือนพวก Macallan
กับการที่บ่มถัง Sherry Oak เพียงแค่เอาสี และ Finished เพิ่มด้วยน้ำผึ้งกับผลไม้ครับ
มีความหวานติดปลายลิ้นค่อนข้างนาน
คงเพราะตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของพวกเครื่องเทศเหมือนพวก Macallan
กับการที่บ่มถัง Sherry Oak เพียงแค่เอาสี และ Finished เพิ่มด้วยน้ำผึ้งกับผลไม้ครับ
มีความหวานติดปลายลิ้นค่อนข้างนาน
แบบนี่แหละแนวที่ผมนิยมเชียวครับ จิบได้เรื่อยๆ เชียวแบบนี้น่ะ
ด้าน After นั้นจัดว่าไม่สั้นและไม่ยาวครับ
แต่ชวนให้ถวิลหาได้เรื่อยๆ มาเรียงๆ กับความหอมและความหวานที่ทิ้งค้างไว้ในช่องปากและลำคอ
เหมาะสำหรับยามว่างนั่งผ่อนคลายฟังเพลงสบายๆ หลังเลิกงาน หรือในวันพักผ่อนได้เป็นอย่างดีเชียวครับ
ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ผิดพลาดประการใดก็ของอภัยและน้อมรับเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เหมาะสำหรับยามว่างนั่งผ่อนคลายฟังเพลงสบายๆ หลังเลิกงาน หรือในวันพักผ่อนได้เป็นอย่างดีเชียวครับ
ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ผิดพลาดประการใดก็ของอภัยและน้อมรับเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Suntory Hibiki 17 Yo
สำหรับ Blended Whisky ขวดนี้จัดเป็นวิสกี้ที่ขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่นครับ Hibiki เป็นเหล้าที่ได้รางวัลระดับโลกมาหลายครั้งแล้วครับ ว่าแล้วก็มาลองของกันเลยดีกว่าครับ อย่าเสียเวลาเลยครับ
เริ่มกันด้วยสีที่ออกทองอำพันอย่างสวยงามครับ
ด้านกลิ่นนั้นออกแนวอโรมาชวนผ่อนคลาย ผสานด้วยกลิ่นเบาๆ ของโอ๊ก วนิลา ช็อกโกแลต(อันนี้ไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับ) และดอกไม้ กลิ่นของแอลกอฮอล์บางๆ เล็กน้อย ไม่ถึงกับฉุน ออกแนวคล้ายอเมริกันวิสกี้ ผมว่าคล้าย Gentleman Jack ครับ
ด้านรสชาติบ้างครับ จิบแรกที่ได้สัมผัสนั้นนุ่มละมุ่นละมัย แนวหวาน ซ่อนความร้อนแรงเมื่อได้กลืนผ่านลำคอ
เริ่มกันด้วยสีที่ออกทองอำพันอย่างสวยงามครับ
ด้านกลิ่นนั้นออกแนวอโรมาชวนผ่อนคลาย ผสานด้วยกลิ่นเบาๆ ของโอ๊ก วนิลา ช็อกโกแลต(อันนี้ไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับ) และดอกไม้ กลิ่นของแอลกอฮอล์บางๆ เล็กน้อย ไม่ถึงกับฉุน ออกแนวคล้ายอเมริกันวิสกี้ ผมว่าคล้าย Gentleman Jack ครับ
ด้านรสชาติบ้างครับ จิบแรกที่ได้สัมผัสนั้นนุ่มละมุ่นละมัย แนวหวาน ซ่อนความร้อนแรงเมื่อได้กลืนผ่านลำคอ
ทิ้งกลิ่นควัน กลิ่นโอ๊ก ความหวานที่ปลายลิ้นของทอฟฟี่ ผสานด้วยความร้อนแรงของเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน คลุกเคล้ากันได้อย่างลงตัวดีครับ
After Taste นั้นด้วยความลงตัวที่คลุกเคล้าระหว่างความหวานละมุ่นกับเผ็ดร้อน แม้ไม่ยาวนานเท่า Quinta Ruban แต่ก็ชวนให้อยากสัมผัสความหอมนุ่มละมุ่นเรื่อยๆ ได้อย่างไม่รู้เบื่อ มากกว่า Lasanta ครับ เหมาะสำหรับนั่งชิวๆ ฟังเพลงแกล้มเหล้าเป็นอย่างยิ่งครับ
Dimple 12 Yo
สำหรับเจ้า Dimple 12 Yo ตัวนี้เคยได้ลองครั้งแรกเมื่อร่วมยี่สิบที่แล้ว
จำได้ว่าเป็นเหล้าที่รสชาติแปลก+นิ่มๆ ดีครับ โดยเฉพาะขวดที่สวยแปลกตาดีครับ รูปทรงสามเหลี่ยม ป้อมๆ แถมมีส่วนโค้งส่วนเว้าอีกต่างหาก
ครั้งนี้กลับมาลองก็เหมือนทักทายเพื่อนเก่าอีกสักครั้งนะครับ
เปิดขวดดมกลิ่น หลังจากเคยชินกับกลิ่นนุ่มๆ ของ Single malt มาพอประมาณ กลับมาหา Blended Whiskey อีกครัั้ง รู้สึกได้ว่ากลิ่นของ แอลกอฮอล์มันแรงกว่า sigle malt เยอะเลยครับ เมื่อลองดมอย่างจริงจังพบว่ากลิ่นของ Oak นั้นค่อนข้างเบาบางกว่า มีกลิ่นของผลไม้คล้ายกับ JW Black แต่โดยรวมนั้นกลิ่นดีกว่านิดหน่อยครับ แต่ผมว่าเทียบกับ Dewar's 12 Years แล้วผมเทใจให้ Dewar's 12 Years มากกว่าครับ
รสชาติเมื่อลิ้มลองด้วยปากบ้านๆ ของผมในแบบ neat แล้วผมว่าติดขม+เผ็ดร้อนของเครื่องเทศครับ แต่เมื่อเติมน้ำ/น้ำแร่ลงไปนิดหน่อยช่วยให้ดีขึ้นเยอะครับ ทิ้งไว้สักพักกลิ่นนุ่มนวลเนียนขึ้นครับ รสชาติโดยรวมแล้วดีขึ้นครับ ความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศยังคงมีอยู่แต่ความขมลดลง
จำได้ว่าเป็นเหล้าที่รสชาติแปลก+นิ่มๆ ดีครับ โดยเฉพาะขวดที่สวยแปลกตาดีครับ รูปทรงสามเหลี่ยม ป้อมๆ แถมมีส่วนโค้งส่วนเว้าอีกต่างหาก
ครั้งนี้กลับมาลองก็เหมือนทักทายเพื่อนเก่าอีกสักครั้งนะครับ
เปิดขวดดมกลิ่น หลังจากเคยชินกับกลิ่นนุ่มๆ ของ Single malt มาพอประมาณ กลับมาหา Blended Whiskey อีกครัั้ง รู้สึกได้ว่ากลิ่นของ แอลกอฮอล์มันแรงกว่า sigle malt เยอะเลยครับ เมื่อลองดมอย่างจริงจังพบว่ากลิ่นของ Oak นั้นค่อนข้างเบาบางกว่า มีกลิ่นของผลไม้คล้ายกับ JW Black แต่โดยรวมนั้นกลิ่นดีกว่านิดหน่อยครับ แต่ผมว่าเทียบกับ Dewar's 12 Years แล้วผมเทใจให้ Dewar's 12 Years มากกว่าครับ
รสชาติเมื่อลิ้มลองด้วยปากบ้านๆ ของผมในแบบ neat แล้วผมว่าติดขม+เผ็ดร้อนของเครื่องเทศครับ แต่เมื่อเติมน้ำ/น้ำแร่ลงไปนิดหน่อยช่วยให้ดีขึ้นเยอะครับ ทิ้งไว้สักพักกลิ่นนุ่มนวลเนียนขึ้นครับ รสชาติโดยรวมแล้วดีขึ้นครับ ความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศยังคงมีอยู่แต่ความขมลดลง
สำหรับ After taste นั้นจัดได้ว่าค่อนข้างใช้ได้ครับ กับรสหวานของคาราเมลที่ค้างอยู่ในปากแบบพอประมาณครับเมื่อเติมน้ำ/น้ำแร่ลงไปเล็กน้อยครับ
สำหรับเพื่อนที่ต้องการความร้อนแรง แล้วแนะนำตัวนี้ไม่มีผิดหวังครับ หากต้องการหลีกหนีความจำเจจาก JW Black และชีวาสครับ
แต่สำหรับเพื่อนที่ต้องการความนุ่มนวลและหวานละมุ่นในราคาใกล้เคียงกันแนะนำ Dewar's 12 years ครับ
สำหรับเพื่อนที่ต้องการความร้อนแรง แล้วแนะนำตัวนี้ไม่มีผิดหวังครับ หากต้องการหลีกหนีความจำเจจาก JW Black และชีวาสครับ
แต่สำหรับเพื่อนที่ต้องการความนุ่มนวลและหวานละมุ่นในราคาใกล้เคียงกันแนะนำ Dewar's 12 years ครับ
คงไม่ครบถ้วนถ้าไม่ได้ลองแบบ on the rock ครับ
พบว่ารสชาติโดยรวมแล้วดีขึ้นมากมายครับ กลิ่นก็จัดว่าดีขึ้นครับ
แต่ยังคงมีความขมหลงเหลืออยู่เล็กน้อยครับ ความหวานของคาราเมลเด่นชัดขึ้นครับ
โดยรวมแล้ว On The Rock น่าจะลงตัวที่สุดครับสำหรับเจ้าตัวนี้ครับ
พบว่ารสชาติโดยรวมแล้วดีขึ้นมากมายครับ กลิ่นก็จัดว่าดีขึ้นครับ
แต่ยังคงมีความขมหลงเหลืออยู่เล็กน้อยครับ ความหวานของคาราเมลเด่นชัดขึ้นครับ
โดยรวมแล้ว On The Rock น่าจะลงตัวที่สุดครับสำหรับเจ้าตัวนี้ครับ
สรุปแล้วเจ้าตัวนี้เหมาะสำหรับการสังสรรกับเพื่อนฝูงในยามที่ต้องการความสนุกสนานครับ ไม่เหมาะสำหรับนั่งจิบแบบชิวๆ หลังอาหาร แต่พอไหวอยู่เหมือนกันหากเป็น on the rock หรือผสมน้ำเล็กน้อยครับ เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า JW Black หรือชีวาสครับ หากต้องการ have fun all night ครับ
แต่หากต้องการแบบชิวๆ all night ในงบที่พอๆกันผมว่า Dewar's 12 years เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าครับ
ปล. ความเห็นทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ในลิ้นบ้านๆ ของผมครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าครับ เพราะลางเนื้อชอบลางยาครับ
แต่หากต้องการแบบชิวๆ all night ในงบที่พอๆกันผมว่า Dewar's 12 years เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าครับ
ปล. ความเห็นทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ในลิ้นบ้านๆ ของผมครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าครับ เพราะลางเนื้อชอบลางยาครับ
Maker's Mark
ซื้อมาลองด้วยความยากว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับ JB Black Label
กับขวดที่เป็นเอกลักษณ์ seal ขวดด้วยยางเรซิ่นสีแดง ทำให้แตกต่างกันไปในแต่ละขวด
สำหรับเจ้า Maker's Mark ตัวนี้จัดเป็น Kentucky Straight Bourbon Whiskey อีกตัวเหมือนกับ Jim Beam ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้าครับ แต่ว่าตัวนี้ทำจุดเด่นว่าเป็น Whiskey Handmade ครับ จากเวปไซด์บอกว่าจะมีขายจำนวนจำกัดในแต่ละปีครับ
ถ้าปีไหนผลผลิตที่นำมาเป็นวัตถุดิบไม่มีก็จะไม่มีการผลิตด้วยครับ อันนี้ไม่ confirm นะครับ
ด้วยกลิ่นอันเร่าร้อนตามสไตล์อเมริกันวิสกี้ ที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะกลิ่น OAK นั้นค่อนข้างเด่นชัดมากๆ ยิ่งเป็นทิ้งไว้สักพัก กลิ่นยิ่งทำให้เกิดความอยากสัมผัสมากขึ้น
รสชาตินั้นบาดลึกจนต้องเจือด้วยน้ำเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัมผัสของ Jim Beam Black
รสชาตินั้นบาดลึกจนต้องเจือด้วยน้ำเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัมผัสของ Jim Beam Black
จัดว่าค่อนข้างจัดจ้านทั้งกลิ่นและรสชาติจริงๆ ครับ สำหรับ Maker's Mark ขวดนี้
เหมาะสำหรับคนที่อยากสัมผัสความเป็นอเมริกันคาวบอยครับ
Ballantine’s 12 year olds 43%
Ballantine’s น่าจะเป็นแบร์นที่เราคุ้นเคยกันดีเพราะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรามาได้ระยะหนึ่งและมีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ซึ่งน่าจะมาจากการทำการตลาดขอผู้ที่เคยเป็นเจ้าของอย่าง Diageo เจ้าของแบร์นสุดคุ้นหูอย่าง Johnnie Walker จนมาถึงปัจจุบัน Chivas Brothers เจ้าของแบร์น Chivas และ 100 pipers ที่เรารู้จักกันดี โดย Ballantine’s ได้รับความนิยมในประเทศแถวทวีปเอเซียเช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยจุดเด่นของ Whisky แบร์นนี้คือใช้ Single Malt จากโรงกลั่นฝั่ง Speyside ได้แก่ Glenburgie และ Miltonduff ดังนั้นรสชาติที่พอจะคาดเดาได้คือเป็น Whisky ที่สดชื่นตามสไตร์ Speyside มาว่ากันที่ Ballantine’s 12 year olds ขวดนี้ดีกว่าจากรูปทรงจะยังเป็นขวดรุ่นเก่า และยังมีดีกรี 43% อีกจึงยิ่งเก่าเข้าไปอีก แต่คิดว่ารสชาติน่าจะไม่ต่างจากตัวในปัจจุบันซักเท่าไหร่
Appearance: สีเหลืองไปถึงส้ม ขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นหวานหอมของน้ำผึ้งและสดชื่นของหญ้าอ่อนๆ
Taste: รสหวานนุ่มน้ำผึ้งผสมวนิลามีกลิ่นไม้โอ๊คเล็กน้อย
With Water: หวานนิดหน่อยมีความมันเล็กน้อย
Finish: หวานแห้งๆ (ไม่รู้จะอธิบายยังไงต้องลองครับ)
สรุป: โดยส่วนตัวถือว่าเป็น Whisky ที่มีรสชาติดีครับแต่อ่อนไปหน่อยเมื่อนำมาผสม mixer ถ้าคนที่ชอบความเข้มอย่าง Johnnie Walker Black ก็ลืมไปได้เลยครับ และผมคิดว่าไม่ค่อยคุ้มราคาซักเท่าไหร่เพราะถ้าได้เคยลองตัวธรรมดาแล้วได้เทียบกับตัว 12 ปีจะรู้สึกไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ครับ
Appearance: สีเหลืองไปถึงส้ม ขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นหวานหอมของน้ำผึ้งและสดชื่นของหญ้าอ่อนๆ
Taste: รสหวานนุ่มน้ำผึ้งผสมวนิลามีกลิ่นไม้โอ๊คเล็กน้อย
With Water: หวานนิดหน่อยมีความมันเล็กน้อย
Finish: หวานแห้งๆ (ไม่รู้จะอธิบายยังไงต้องลองครับ)
สรุป: โดยส่วนตัวถือว่าเป็น Whisky ที่มีรสชาติดีครับแต่อ่อนไปหน่อยเมื่อนำมาผสม mixer ถ้าคนที่ชอบความเข้มอย่าง Johnnie Walker Black ก็ลืมไปได้เลยครับ และผมคิดว่าไม่ค่อยคุ้มราคาซักเท่าไหร่เพราะถ้าได้เคยลองตัวธรรมดาแล้วได้เทียบกับตัว 12 ปีจะรู้สึกไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ครับ
Whyte&Mackay Special 40%
Whyte&Mackay เป็นแบร์น Blend Whisky ที่ได้รับความนิยมใน UK Spain France Scandinavia โดย Single Malt Whisky ที่นำมา Blend นั้นก็จะมาจากโรงกลั่นดังๆ อย่าง Dalmore(ซึ่งถือเป็นโรงกลั่น Single Malt Whisky ระดับ Premium) และ Isla of Jura(พอจะหาลิ้มลองได้ในบ้านเราครับ) โดย Whyte&Mackay Special นี้น่าจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ระยะหนึ่งแล้วโดยการคาดเดาของผมน่าจะเกินกว่า10ปีแล้วครับ แต่เท่าที่ทราบตอนนี้น่าจะหายากพอสมควรเพราะตลาดบ้านเราไม่ค่อยตอบรับซักเท่าไหร่ ที่หลงเหลืออยู่ตามแผนกสุราน่าจะเป็น stock สุดท้ายแล้ว ซึ่งในอนาคตวันหน้าอาจจะไม่มีให้เห็นกัน หากใครมีโอกาสได้พบเจอก็อยากให้เก็บมาลิ้มลองกันเพราะราคาถูกกว่าwhiskyในระดับเดียวกันอยู่พอสมควรครับ
Appearance: สีทองแดง และมีขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นผลไม้คล้าย apple นำเด่น ออกเค็มๆ ไร้กลิ่นควัน
Taste: รสหวานนุ่ม มีกลิ่นผลไม้ น้ำผึ้ง และความสดชื่น
With Water: รสหวานหอมมาแบบตรงๆ
Finish: ทิ้งรสหวานที่ไม่ซับซ้อนไว้ในระดับกลางๆ
สรุป: Whyte&Mackay Special คุ้มค่าคุ้มราคาเป็น Whisky ที่สามารถเอาไว้ดื่มเปรียบเทียบหาความแตกต่างกับ Whisky แนวอื่นๆ ได้ดี และยังสามารถผสมmixer ได้หลากหลายให้รสสัมผัสของผลไม้และความหวานที่ลงตัว
Appearance: สีทองแดง และมีขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นผลไม้คล้าย apple นำเด่น ออกเค็มๆ ไร้กลิ่นควัน
Taste: รสหวานนุ่ม มีกลิ่นผลไม้ น้ำผึ้ง และความสดชื่น
With Water: รสหวานหอมมาแบบตรงๆ
Finish: ทิ้งรสหวานที่ไม่ซับซ้อนไว้ในระดับกลางๆ
สรุป: Whyte&Mackay Special คุ้มค่าคุ้มราคาเป็น Whisky ที่สามารถเอาไว้ดื่มเปรียบเทียบหาความแตกต่างกับ Whisky แนวอื่นๆ ได้ดี และยังสามารถผสมmixer ได้หลากหลายให้รสสัมผัสของผลไม้และความหวานที่ลงตัว
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Glendullan 12 year old 43%
Glendullan เป็นโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ที่ Dufftown จึงเป็น Single Malt จากฝั่ง Speyside โดย Single Malt Whisky ส่วนใหญ่ที่ผลิตได้จากโรงกลั่นนี้จะนำไปเป็นส่วนผสมสำหรับ Blend Whisky ยี่ห้อดังอย่าง Old Parr และ Johnnie Walker เป็นต้น ดังนั้น Single Malt Whisky ของทางโรงกลั่นนี้จึงมีผลิตภัณฑ์ไม่มาก ซึ่งเท่าที่คิดว่าพอจะเห็นเป็นรูปร่างก็คงเป็น The Singleton Single Malt Scotch Whisky of Glendullan (แต่ก็ยังไม่เคยเห็นที่เมืองไทยเหมือนกัน) มาว่ากันเรื่องของเจ้า Glendullan 12 year old ดีกว่าความจริงแล้วเจ้าขวดนี้ผมได้มาแบบทั้งโชคและความบังเอิญ และโดยการคาดเดาของผมเองคิดว่า Glendullan 12 year old น่าจะมีการวางจำหน่ายเฉพาะในยุโรป
Appearance: สีทองอ่อนใสๆ และมีขาเล็กยาวระดับกลาง
Aroma: กลิ่นอ่อนๆ ลักษณะหอมสดชื่นของผลไม้และดอกไม้
Taste: รสหวานอ่อนๆ มีกลิ่นสดชื่นของผลไม้และดอกไม้ แต่แอบซ่อนกลิ่นควันเอาไว้ แต่น้อยกว่า Highland Park 12 year old มากนัก
With Water: รสหวานเด่นขึ้น รสสัมผัสหอมมัน และกลิ่นควันอ่อนๆ เริ่มชัดขึ้น
Finish: ทิ้งกลิ่นหอมของผลไม้ไว้ในระดับกลางๆ และความรู้สึกร้อนไว้
สรุป: เป็น Whisky ที่บอกความเป็น Speyside ได้ดีแต่แอบแฝงด้วยกลิ่นควัน ซึ่งด้วยกลิ่นและรสที่อ่อนจึงน่าจะเป็น Whisky ที่เหมาะกับการดื่มหลังอาหารเพื่อล้างคอและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Glen Elgin 12 Years
Glen Elgin 12 Years ขวดนี้จัดเป็น Speyside Highland Whisky ครับ
ข้อมูลเบื้องต้นนั้นหาไม่ได้ครับ ว่าผ่านการบ่มในถังไม้ชนิดได้บ้างครับ
เริ่มที่สีก่อนเช่นเคยครับ สีเมื่ออยู่ในขวดนั้นมองแล้วออกคล้ายสีของทองแดงครับ
แต่เมื่อรินออกมาแล้วออกสีทองใสๆ อยู่เหมือนกันครับ
เมื่อลองแกว่งเพื่อดูขาพบว่าขาค่อยข้างใหญ่และหนักไหลเอื่อยๆ เพราะผ่านการบ่มนานถึง 12 ปี ใช้ได้อยู่เหมือนกันครับ
ว่าในเรื่องของกลิ่นบ้างครับ วูบแรกที่สูดปื้ดเข้าไปชวนให้นึกถึงเจ้าตัว Laphoraig อยู่ทีเดียวครับ
กลิ่นของ oak ค่อนข้างดีครับ เจือด้วยกลิ่นของผลไม้จำพวกพีช และกลิ่นสะอาดๆ คล้ายกลิ่นน้องสาหร่ายด้วยครับ
แถมพ่วงด้วยกลิ่นควันไฟอ่อนของถ่านที่นำมากรอง (ครั้งแรกที่ลอง SM แล้วได้กลิ่นนี้ชัดเมื่อเทียบกับ American Whiskey)
แต่ทุกกลิ่นก็ผสานกันได้อย่างลงตัวเป็นเอกลักษณ์ดีครับ สำหรับจมูกบ้านๆ ของผมครับ
ว่ากันที่รสชาติกับลิ้นบ้านๆ ของผมกันบ้างครับ เผ็ดร้อนนิดๆ แต่ไม่บาดคอมากมายจัดว่าลื่นคอดีอยู่ครับ
กลิ่นเมื่ออยู่ในปากแล้วยิ่งชวนให้นึกถึงน้องสาหร่าย Laphoraig เป็นอย่างยิ่งครับ มันคล้ายแต่ก็แตกต่างอย่างบอกไม่ถูกครับ
แต่ในเรื่องของความลื่น ความหวานติดปลายลิ้น และกลิ่นของควันที่ทิ้งเอาไว้เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้สู้ Laphoraig ไม่ได้แน่ๆ ครับ
After Taste นั้นสำหรับผมจัดว่ากลางๆ ไม่เด่น ถ้าถามว่าน่าประทับใจหรือปล่าวนี่บอกไม่ถูกอยู่เหมือนกันครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ อย่างผม
เจ้าตัว Glen Elgin 12 Years นี่ทิ้งกลิ่นควันจางๆ ไว้ในปาก ไม่ค่อยมีกลิ่นของ oak กับความหวานติดปลายลิ้นเท่าไหร่ครับ
จัดได้ว่าดีกว่า Blend Whisky แต่ยังไม่น่าประทับใจในขั้นของ SM ครับ
ในงบใกล้เคียงกันนี่ผมว่าหนีไปเล่น The Macallan Fine Oak 10 Years หรือ Glenmorangie ดีกว่าครับ
สรุป สำหรับผมแล้ว เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้เหมาะสำหรับไว้เปลี่ยนบรรยากาศ
สำหรับคนที่อยากหาความแตกต่าง และอยากลองอะไรใหม่ๆ มากกว่าที่จะใช้นั่งชิวๆ คุยกับเพื่อนครับ
ยังไงเดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ผมจะลองแบบ on the rock อีกสักรอบครับ เพราะแบบ neat นี่ไม่เหมาะกับเจ้านี่จริงๆ ครับ
ขอมาลองอีกรอบด้วยความคาใจครับ รอบแรกขอเป็นเหล้า 3 น้ำเย็นๆ 1
เริ่มที่กลิ่น เหมือนมาถูกทางแล้วครับรอบนี้ กลิ่นของผลไม้จำพวกพีช เด่นชัดขึ้นครับชวนให้นึกถึงตระกูล JW ครับ
ยิ่งทิ้งไว้สักพัก กลิ่นของโอ๊กเริ่มมาแล้วครับรอบนี้
รสชาติ อืม... โอ้ว... อุมามิขึ้นครับรอบนี้ นุ่มนวลได้ที่ขึ้นมาเชียวครับ กลิ่นน้องสาหร่ายแบบ Laphoraig หายไปเชียวครับ
ความเผ็ดร้อนลดลงเยอะเชียวครับ ทิ้งกลิ่นหอมควันบางๆ เอาไว้ พร้อมความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นมากขึ้นกว่าเดิม
After Taste นั้นจัดได้ว่าชัดเจนและดีขึ้นมากเชียวครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ ของผม ชวนให้อยากละเลียดมากขึ้นครับ
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้ถ้าเติมน้ำเย็นลงไปแหล่มขึ้นมาเชียวครับ ไม่เหมาะสำหรับ Neat เลยครับสำหรับผม
เดี๋ยวไปต่อกันที่ On The Rock ครับ
ข้อมูลเบื้องต้นนั้นหาไม่ได้ครับ ว่าผ่านการบ่มในถังไม้ชนิดได้บ้างครับ
เริ่มที่สีก่อนเช่นเคยครับ สีเมื่ออยู่ในขวดนั้นมองแล้วออกคล้ายสีของทองแดงครับ
แต่เมื่อรินออกมาแล้วออกสีทองใสๆ อยู่เหมือนกันครับ
เมื่อลองแกว่งเพื่อดูขาพบว่าขาค่อยข้างใหญ่และหนักไหลเอื่อยๆ เพราะผ่านการบ่มนานถึง 12 ปี ใช้ได้อยู่เหมือนกันครับ
ว่าในเรื่องของกลิ่นบ้างครับ วูบแรกที่สูดปื้ดเข้าไปชวนให้นึกถึงเจ้าตัว Laphoraig อยู่ทีเดียวครับ
กลิ่นของ oak ค่อนข้างดีครับ เจือด้วยกลิ่นของผลไม้จำพวกพีช และกลิ่นสะอาดๆ คล้ายกลิ่นน้องสาหร่ายด้วยครับ
แถมพ่วงด้วยกลิ่นควันไฟอ่อนของถ่านที่นำมากรอง (ครั้งแรกที่ลอง SM แล้วได้กลิ่นนี้ชัดเมื่อเทียบกับ American Whiskey)
แต่ทุกกลิ่นก็ผสานกันได้อย่างลงตัวเป็นเอกลักษณ์ดีครับ สำหรับจมูกบ้านๆ ของผมครับ
ว่ากันที่รสชาติกับลิ้นบ้านๆ ของผมกันบ้างครับ เผ็ดร้อนนิดๆ แต่ไม่บาดคอมากมายจัดว่าลื่นคอดีอยู่ครับ
กลิ่นเมื่ออยู่ในปากแล้วยิ่งชวนให้นึกถึงน้องสาหร่าย Laphoraig เป็นอย่างยิ่งครับ มันคล้ายแต่ก็แตกต่างอย่างบอกไม่ถูกครับ
แต่ในเรื่องของความลื่น ความหวานติดปลายลิ้น และกลิ่นของควันที่ทิ้งเอาไว้เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้สู้ Laphoraig ไม่ได้แน่ๆ ครับ
After Taste นั้นสำหรับผมจัดว่ากลางๆ ไม่เด่น ถ้าถามว่าน่าประทับใจหรือปล่าวนี่บอกไม่ถูกอยู่เหมือนกันครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ อย่างผม
เจ้าตัว Glen Elgin 12 Years นี่ทิ้งกลิ่นควันจางๆ ไว้ในปาก ไม่ค่อยมีกลิ่นของ oak กับความหวานติดปลายลิ้นเท่าไหร่ครับ
จัดได้ว่าดีกว่า Blend Whisky แต่ยังไม่น่าประทับใจในขั้นของ SM ครับ
ในงบใกล้เคียงกันนี่ผมว่าหนีไปเล่น The Macallan Fine Oak 10 Years หรือ Glenmorangie ดีกว่าครับ
สรุป สำหรับผมแล้ว เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้เหมาะสำหรับไว้เปลี่ยนบรรยากาศ
สำหรับคนที่อยากหาความแตกต่าง และอยากลองอะไรใหม่ๆ มากกว่าที่จะใช้นั่งชิวๆ คุยกับเพื่อนครับ
ยังไงเดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ผมจะลองแบบ on the rock อีกสักรอบครับ เพราะแบบ neat นี่ไม่เหมาะกับเจ้านี่จริงๆ ครับ
เริ่มที่กลิ่น เหมือนมาถูกทางแล้วครับรอบนี้ กลิ่นของผลไม้จำพวกพีช เด่นชัดขึ้นครับชวนให้นึกถึงตระกูล JW ครับ
ยิ่งทิ้งไว้สักพัก กลิ่นของโอ๊กเริ่มมาแล้วครับรอบนี้
รสชาติ อืม... โอ้ว... อุมามิขึ้นครับรอบนี้ นุ่มนวลได้ที่ขึ้นมาเชียวครับ กลิ่นน้องสาหร่ายแบบ Laphoraig หายไปเชียวครับ
ความเผ็ดร้อนลดลงเยอะเชียวครับ ทิ้งกลิ่นหอมควันบางๆ เอาไว้ พร้อมความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นมากขึ้นกว่าเดิม
After Taste นั้นจัดได้ว่าชัดเจนและดีขึ้นมากเชียวครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ ของผม ชวนให้อยากละเลียดมากขึ้นครับ
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้ถ้าเติมน้ำเย็นลงไปแหล่มขึ้นมาเชียวครับ ไม่เหมาะสำหรับ Neat เลยครับสำหรับผม
เดี๋ยวไปต่อกันที่ On The Rock ครับ
รอบนี้ขอมาลองกันแบบ on the rock ครับ
เริ่มที่กลิ่น
เริ่มที่กลิ่น
แหม... มันยิ่งชวนให้นึกถึง JW จำพวก Green หรือ Gold หนักขึ้นไปอีกครับ
แต่....
แต่....
รสชาติ โอ้ว... พระเจ้าช่วย กล้วยทอด ไหง มันออกแนว หวานขมหว่า.... เอื้อก.... ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลยครับ กับ on the rock
After Taste กล้วยทอดแว้ว.... ไม่มีเอาเสียเลยครับ สำหรับผมง่ะ
หนำซ้ำ โอ้ว... จิ๊ดเลยครับ มาเร็วเลยครับ... มึนแว้วววว..... คร๊าบพี่น้องงงงงง
After Taste กล้วยทอดแว้ว.... ไม่มีเอาเสียเลยครับ สำหรับผมง่ะ
หนำซ้ำ โอ้ว... จิ๊ดเลยครับ มาเร็วเลยครับ... มึนแว้วววว..... คร๊าบพี่น้องงงงงง
บ่าย บ้าย บาย ครับ... สำหรับ Glen Elgin On The Rock
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้สำหรับผมแล้วคงต้องผสมน้ำเย็น แบบ เหล้า 3 น้ำเย็น 1 ลงตัวสุดๆ ครับ
แต่แบบ on the rock แล้วคงต้องลาขาดครับขึ้นเรย... คร๊าบ....
กับความแรงที่ 43 ดีกรี...
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้สำหรับผมแล้วคงต้องผสมน้ำเย็น แบบ เหล้า 3 น้ำเย็น 1 ลงตัวสุดๆ ครับ
แต่แบบ on the rock แล้วคงต้องลาขาดครับขึ้นเรย... คร๊าบ....
กับความแรงที่ 43 ดีกรี...
วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553
LAPHROAIG QUARTER CASK
LAPHROAIG QUARTER CASK
LAPHROAIG หนึ่งในสุดยอด Single Malt จาก Islay โรงงานของ LAPHROAIG ตั้งอยู่ริมทะเลใกล้ๆกับโรงงาน Lagavulin และ Ardbeg
สี : เหลืองทอง
กลิ่น : มีกลิ่นควันแบบเฉพาะตัว(ไม่เหมือนTalisker 10Yo และ Highland Park 12yo) กลิ่นควันอมเขียวๆอมเค็มๆ(หรือที่เขาเรียกว่ากลิ่นสาหร่าย หรือ กลิ่นทะเลหรือเปล่าครับ) ส่วนจมูกผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นโรงพยาบาลเท่าใดนัก ที่รับรู้ได้จะเป็นกลิ่นสะอาดๆ และยังรับรู้ถึงรสความหวานอยู่ในชั้นของกลิ่นที่รองๆลงไป ปริมาณของกลิ่นดีมาก...กลิ่นพุ่งสู้จมูกดีจังครับ
กลิ่นดมครั้งแรกบอกไม่ถูกว่าชอบหรือไม่ชอบ เป็นกลิ่นเฉพาะตัวจริงๆครับ นี้ถ้าผมไม่เคยดื่ม และ ชอบกลิ่นของ Talisker 10Yo แล้วละก็อาจเกลียดกลิ่น LAPHROAIG ก็ได้...นี้ขนาดชอบ Talisker ในครั้งแรกๆยังบอกไม่ถูกเลยว่าจะชอบกลิ่น LAPHROAIG ดีหรือไม่....อีกในหนึ่งถ้าเพื่อนๆไม่ชอบเหล้าที่มีกลิ่นควันแบบ Talisker ผมว่าคุณก็จะไม่ชอบ LAPHROAIG แน่ๆครับ และความจะผ่านไปได้เลยครับ เพราะกลิ่น LAPHROAIG มันแปลกๆบอกไม่ถูกครับ
มีสิ่งที่แปลก(แต่ดี)สำหรับ LAPHROAIG QUARTER CASK ถ้าลองทิ้งหล้าไว้ในแก้วซัก 15 นาที(ให้สัมผัสอากาศ)...แล้ววนแก้วพอประมาณ กลิ่นจะเปลี่ยนไปแบบเหล้าคนละขวด หนังคนละม้วนเลยครับ กลิ่นควันจะลดลงทำให้เผยกลิ่นผลไม้ที่ซ่อนอยู่(แต่เดิมก็มีกลิ่นผลไม้อยู่ในชั้นรองๆลงไป แต่กลิ่นควันบังหมดครับ) เป็นกลิ่นหอมสดชื่นมากครับ แต่ถ้าตั้งแก้วทิ้งไว้กลิ่นควันก็จะกลับมาใหม่ แต่ปริมาณจะไม่มากแล้วครับ...
ทดลองใส่น้ำแร่ HIGHLAND SPRING จาก SCOTLAND เล็กน้อย กลิ่นหอมผลไม้ที่สดชื่นและหวานพุ่งมาเลยครับ ผสมน้ำแร่แล้วกลิ่นหอมผลไม้ชัดเจนขึ้น กลิ่นคล้ายๆผลไม้ที่มีรสเปรียวเช่นมะนาว แต่ก็มีกลิ่นหวานๆปนด้วยนะครับ... LAPHROAIG QUARTER CASK นี้กลิ่นซับซ้อนจริงๆครับ แค่ดมกลิ่นก็คุ้มแล้วครับ
รสชาติ : LAPHROAIG QUARTER CASK นี้เป็นเหล้า Full Body ตัวจริงเลยครับ ยังรับรู้ถึงกลิ่นและรสของควันแบบเฉพาะตัว มีความหวานที่อมขมอยู่ในที่ นอกจากนี้ยังรับรู้ถึงรสเค็มปะแล่มๆ ยึ่งดื่มริมทะเลนี้อยากบอกว่า....มันเข้ากันเหมื่อนทะเลเป็นกับแกล้มชั้นดีของ LAPHROAIG เลยครับ
After Taste ชุ่มคอ หอมอวนในโพรงปาก โพรงจมูกยาว ยาวมากครับ....และทิ้งท้ายด้วยความขมปนกลิ่นควันทิ้งค้างในคอ ขนาดดื่มน้ำก็ยังแทบจะไม่ได้ทำให้หายไปเลยครับ.... After Taste ยาวนาน(ยิ่งกว่ายาวมาก) ถ้าดื่มด้วย ดมด้วย กลิ่นหอมติดจมูกดีจริงๆครับ
ทดลองใส่น้ำแร่ HIGHLAND SPRING เล็กน้อย รสชาติจะรับรู้ถึงกลิ่นผลไม้มากขึ้น แต่กลิ่นควันเฉพาะตัวยังมีอยู่นะครับ
สำหรับ LAPHROAIG QUARTER CASK จะผสมน้ำแร่ หรือดื่มแบบ Neat ก็อร่อยและกลิ่นดีทั้งสองแบบครับ...เหมื่อนซื้อหนึ่งได้ถึงสองประมาณนั้น
สำหรับ LAPHROAIG QUARTER CASK นี้สมคำที่ว่าถ้าไม่รักก็เกลียดจริงๆครับ....แต่ด้วยรีวิวที่ยาวแบบนี้ ผมไม่ต้องบอกนะว่าผมรักหรือเกลียด
สำหรับรีวิวนี้ก็ต้องออกตัวก่อนว่าลิ้นจรเข้แบบผม...ใช้อ้างอิงอะไรมากไม่ได้นะครับ ถือว่าอ่านกันสนุกๆนะครับ
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553
Clynelish 14 YO
เจ้าแมวป่า ที่อวดอ้างที่มาว่าเป็นสัญลักษณ์ของ The Sutherland Coat of Arms.
เจ้าตัวนี้นั้นอ้างอิงตัวเองว่า เป็น Single Malt Coastal Highland ครับ อันนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นครับ
มาเริ่มมองกันที่สี ด้วยความที่เป็นเหล้าที่อ้างอิงว่าผ่านการบ่ม 14 ปีทำให้สีที่ได้ออกทองอร่ามแบบเข้มๆ เล็กน้อย ขาของเหล้าจัดได้ว่าค่อนข้างใหญ่ ไหลค่อนข้างช้าทีเดียวครับ
ต่อกันที่กลิ่น ในแนวทางของ Highland แล้วส่วนใหญ่มักจะเด่นในเรื่องกลิ่นของผลไม้ครับ มีอโรมาแนวผ่อนคลายนิดๆ ครับ กลิ่น Alc บางเบาครับ ยิ่งทิ้งไว้สักพักกลิ่นยิ่งออกมายั่วน้ำลายเป็นอย่างยิ่งจริงๆ ครับ
ว่าแล้วก็มาลองกันเลยครับ...
อืม.... ครับจัดว่าดีเชียวครับไม่ผิดหวังกับความหวาน แฝงด้วยความอบอุ่น ลื่น และไม่บาดคอครับในยามที่กลืนลงไป
จับกลิ่นรมควันได้น้อยมาครับ ไม่ชัดเจนเหมือน Glenmorangie Cellar 13 กับ Macallan Fine Oak
ไม่ทิ้งความหวานไว้ที่ปลายลิ้นมากนักเมื่อเทียบกับตระกูล Macallan กับ Glenmorangie ที่ชัดเจนในความหวานติดปลายลิ้นมากกว่า
ด้าน After Taste นั้นไม่จัดจ้านเหมือนตระกูล Macallan กับ Glenmorangie ครับ แต่ก็จัดว่าประทับใจอยู่ครับ
ไม่สั้นและไม่ยาว กำลังดี ทิ้งความหวานละมุนไว้ในปาก กับกลิ่นผลไม้จางๆ ไว้ในคอ กำลังดีเชียวครับ
ความเห็นส่วนตัวกับลิ้นบ้านๆ ของผมแล้วสำหรับเจ้าตัวนี้เหมาะสำหรับ นั่งจิบยาวๆ แบบชิวเอ้าส์กับเพื่อนในวันว่างๆ ได้อย่างลงตัวเชียวครับ กับรสชาติที่ไม่จัดจ้านมากนัก ความเด่นชัดของกลิ่นที่คอยเหมือนกับจะยั่วเย้าให้ลองแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ
ไม่ผิดหวังสำหรับขวดนี้ที่ถูกจัดให้เป็น 101 must drink ครับ
เจ้าตัวนี้นั้นอ้างอิงตัวเองว่า เป็น Single Malt Coastal Highland ครับ อันนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นครับ
มาเริ่มมองกันที่สี ด้วยความที่เป็นเหล้าที่อ้างอิงว่าผ่านการบ่ม 14 ปีทำให้สีที่ได้ออกทองอร่ามแบบเข้มๆ เล็กน้อย ขาของเหล้าจัดได้ว่าค่อนข้างใหญ่ ไหลค่อนข้างช้าทีเดียวครับ
ต่อกันที่กลิ่น ในแนวทางของ Highland แล้วส่วนใหญ่มักจะเด่นในเรื่องกลิ่นของผลไม้ครับ มีอโรมาแนวผ่อนคลายนิดๆ ครับ กลิ่น Alc บางเบาครับ ยิ่งทิ้งไว้สักพักกลิ่นยิ่งออกมายั่วน้ำลายเป็นอย่างยิ่งจริงๆ ครับ
ว่าแล้วก็มาลองกันเลยครับ...
อืม.... ครับจัดว่าดีเชียวครับไม่ผิดหวังกับความหวาน แฝงด้วยความอบอุ่น ลื่น และไม่บาดคอครับในยามที่กลืนลงไป
จับกลิ่นรมควันได้น้อยมาครับ ไม่ชัดเจนเหมือน Glenmorangie Cellar 13 กับ Macallan Fine Oak
ไม่ทิ้งความหวานไว้ที่ปลายลิ้นมากนักเมื่อเทียบกับตระกูล Macallan กับ Glenmorangie ที่ชัดเจนในความหวานติดปลายลิ้นมากกว่า
ด้าน After Taste นั้นไม่จัดจ้านเหมือนตระกูล Macallan กับ Glenmorangie ครับ แต่ก็จัดว่าประทับใจอยู่ครับ
ไม่สั้นและไม่ยาว กำลังดี ทิ้งความหวานละมุนไว้ในปาก กับกลิ่นผลไม้จางๆ ไว้ในคอ กำลังดีเชียวครับ
ความเห็นส่วนตัวกับลิ้นบ้านๆ ของผมแล้วสำหรับเจ้าตัวนี้เหมาะสำหรับ นั่งจิบยาวๆ แบบชิวเอ้าส์กับเพื่อนในวันว่างๆ ได้อย่างลงตัวเชียวครับ กับรสชาติที่ไม่จัดจ้านมากนัก ความเด่นชัดของกลิ่นที่คอยเหมือนกับจะยั่วเย้าให้ลองแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ
ไม่ผิดหวังสำหรับขวดนี้ที่ถูกจัดให้เป็น 101 must drink ครับ
101 Whiskies to Try Before You Die
ผมได้หนังสื่อ 101 Whiskies to Try Before You Die ของ Ian Buxton มา ในหนังสือได้แนะนำเหล้าไว้ 101 รุ่นที่น่าหามาดื่ม
ผมเห็นว่าน่าสนใจเลยเอาข้อมูลมาแบ่งกัน ถึงแม้ว่าเหล้าที่แนะนำนี้จะเป็นรุ่นสูงของในแต่ละยี่ห้อ(อายุเกินสิบปี)อยู่หลายตัว แต่เราก็พอเห็นแนวที่ฝรั่งแนะนำไว้ ซึ่งเหล้าในบางรุ่นที่แนะนำอาจหายากและราคาสูง เราก็หารุ่นที่ราคาถูกกว่าได้ครับ
1. Aberfeldy 21 Years Old
2. Aberlour a’bunadh
3. Amrut Fusion
4. anCnoc 16 Years Old
5. Ardbeg 10 Years Old
6. Ardbeg Uigeadail
7. Asyla
8. Auchentoshan Classic
9. Balblair Vintage 1989
10. Ballantine’s 17 Years Old
11. Basil Hayden’s
12. BenRiach Curiositas Peated
13. Benromach Organic
14. Bernheim Original Wheat Whiskey
15. Black Bottle
16. Black Grouse
17. Bladnoch 8 Years Old
18. Blue Hanger
19. BNJ (Bailie Nicol Jarvie)
20. Bowmore Tempest 10 Years Old
21. Bruichladdich 12 Years Old Second Edition
22. Buffalo Trace
23. Bunnahabhain 18 Years Old
24. Bushmills 16 Years Old
25. Cameron Brig Pure Single Grain
26. Caol lla 12 Years Old
27. Chivas Regal 25 Years Old
28. Clynelish 14 Years Old
29. Crown Royal
30. Cutty Sark Original
31. Cutty Sark 25 Years Old
32. Dalwhinnie 15 Years Old
33. Deanston 12 Years Old
34. Dewar’s 12 Years Old
35. Dewar’s Signature
36. Eagle Rare 17 Years Old
37. Elijah Craig 12 Years Old
38. Glen Breton Rare
39. Glenfarclas 21 Years Old
40. Glenfarclas 105
41. Glenfiddich 18 Years Old
42. Glenfiddich 30 Years Old
43. Glenglassaugh The Spirit Drink That Dare Not Speak Its Name
44. Glenglassaugh 26 Years Old
45. Glengoyne 21 Years Old
46. Glenmorangie Quinta Ruban
47. Gordon & MacPhail Glen Grant 25 Years Old
48. Green Sport
49. Hakushu 18 Years Old
50. Thomas H Handy Sazerac Rye
51. Hedonism Limited Release
52. Hibiki 17 Years Old
53. Hibiki 30 Years Old
54. Highland Park 18 Years Old
55. Highland Park 21 Years Old
56. Highland Park 30 Years Old
57. Highland Park 40 Years Old
58. Isle of Jura Superstition
59. Jameson 18 Years Old Limited Reserve
60. Johnnie Walker Black Label
61. Johnnie Walker Blue Label King George V Edition
62. Kilchoman
63. Knob Creek
64. Lagavulin 16 Years Old
65. Laphroaig Quarter Cask
66. Longrow CV
67. Mackmyra
68. Maker’s Mark
69. Mellow Corn
70. Monkey shoulder
71. Mortlach 16 Years Old
72. Nikka All Malt
73. Oban 14 Years Old
74. Old Pulteney 17 Years Old
75. Redbreast 12 Years Old
76. Scapa 14/16 Years Old
77. Sheep Dip
78. Smokehead Extre Black
79. Speyburn Solera 25 Years Old
80. Springbank 10 Years Old
81. St George’s The English Whisky Co,
82. Talisker 10 Years Old
83. Talisker 18 Years Old
84. The Balvenie PortWood 21 Years Old
85. The Balvenie 30 Years Old
86. The Dalmore 12 Years Old
87. The Glenlivet 21 Years Old
88. The Glenrothes Select Reserve
89. The Macallan Sherry Oak 10 Years Old
90. The Macallan Sherry Oak 18 Years Old
91. The Macallan Fine Oak 30 Years Old
92. The Society Special Highland Blend
93. The Spice Tree
94. The Tyrconnell
95. Tobermory 15 Years Old
96. Van Winkle Family Reserve Rye
97. Wild Turkey Rare Breed
98. Woodford Reserve
99. Yamazaki 12 Years Old
100. Yamazaki 18 Years Old
101. Yoichi 10 Years Old
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553
Dewar's 12 Year Old Special Reserve
ด้วยว่าภาษีเหล้าที่เพิ่มขึ้นในบ้านเราทำให้เจ้านี่ค่าตัวขยับจากเดิมตอนที่หิ้วมาเมื่อปีก่อน 950.- ตอนนี้เป็น 1000+ ซ่ะแล้ว แต่ช่วงนี้ที่ Tops Supermarket กำลังจัดรายการค่าตัวจะอยู่ที่ประมาณ 899.- ครับ เจ้าตระกูลนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นมักจะเป็น Dewar's White Label เป็นส่วนใหญ่ครับ ค่าตัวประมาณ 600+ ครับ
เหล้าตระกูลนี้ยอมรับว่ายังไม่เคยลองมาก่อน พอคิดจะลองเลยมาเล่นที่ตัว 12 ปีไปเลยดีกว่า วูบแรกที่เปิดดมกลิ่นคล้ายไปทางตระกูล JW แต่ดมไปดมมามันไม่ใช่ล่ะ กลิ่นนุ่มกว่าเยอะเลยครับ
สีตอนที่อยู่ในขวดออกแนวเข้มนิดๆ เมื่อรินออกมาลงแก้วแล้วสีออกแนวทองใสๆ ครับ
เหล้าตระกูลนี้ยอมรับว่ายังไม่เคยลองมาก่อน พอคิดจะลองเลยมาเล่นที่ตัว 12 ปีไปเลยดีกว่า วูบแรกที่เปิดดมกลิ่นคล้ายไปทางตระกูล JW แต่ดมไปดมมามันไม่ใช่ล่ะ กลิ่นนุ่มกว่าเยอะเลยครับ
สีตอนที่อยู่ในขวดออกแนวเข้มนิดๆ เมื่อรินออกมาลงแก้วแล้วสีออกแนวทองใสๆ ครับ
ส่วนกลิ่นเมื่อรินออกมาแล้วจะออกแนวหวานๆ เหมือนน้ำผึ้งกลมกล่อม มีกลิ่นของแอลกอฮอล์น้อยมากๆ ครับ
รสชาติเมื่อสัมผัสลิ้นครั้งแรกหวานละมุ่นอย่างแรงครับ
ไร้ซึ่งความบาดลิ้นบาดคอ กลมกล่อมมากๆ เมื่ออมไว้ในปาก
และเมื่อกลืนผ่านลำคอทิ้งความหอมละมุ่นชวนให้อยากสัมผัสอีกหลายๆ รอบครับ
เจ้าตัวนี้ไม่ต้องผสมให้เสียรสชาติจะดีกว่านะครับ
ไร้ซึ่งความบาดลิ้นบาดคอ กลมกล่อมมากๆ เมื่ออมไว้ในปาก
และเมื่อกลืนผ่านลำคอทิ้งความหอมละมุ่นชวนให้อยากสัมผัสอีกหลายๆ รอบครับ
เจ้าตัวนี้ไม่ต้องผสมให้เสียรสชาติจะดีกว่านะครับ
สรุปแล้ว ตัวนี้แหล่มครับ ต้องลองแล้วจะลืม JW Gold Reserve ไปได้เลยครับ ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่าประมาณ ฿ 300-400.-
รสชาติที่นุ่มนวล กลิ่นหอมละมุ่นของน้ำผึ้ง และทิ้งท้ายความหวานอวลไว้ในปาก
สมดังคำขวัญของ Sir Thomas Robert Dewar ที่ให้ไว้สำหรับเหล้าของแกว่า
สมดังคำขวัญของ Sir Thomas Robert Dewar ที่ให้ไว้สำหรับเหล้าของแกว่า
"The quality of the article should be its greatest advertisment."
Glenmorangie Single Malt Whisky Cellar 13
สบโอกาสเปิดลองเจ้าตัวนี้หลังจากห่างหายจากตระกูลนี้ไปนานเชียวครับ
ต้องยอมรับว่าไม่ผิดหวังครับสำหรับเหล้าตระกูลนี้ เสียแต่ว่าเจ้าตัวนี้ค่อนข้างหนักไปนิดสำหรับผมครับกับความแรงที่ 43% Alc.
สำหรับเจ้านี่ตัวเค้าโฆกษณาตัวเองว่าเป็น Frist Cask ที่ทำการบรรจุแล้วนำไปเก็บไว้ที่ Cellar 13 ของโรงบ่มครับ
เรื่องสีนั้นเนื่องจากว่าเป็นการเก็บบ่มเพียง 10 ปี สีจึงยังไม่เข้มเท่าไหร่ ออกแนวทองใสๆ เนียนตาดีครับ
ส่วนในเรื่องของขานั้นจัดว่าค่อนขาดีเชียวครับ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไหลเอื่อยๆ ดีครับ
ส่วนของกลิ่นนั้นกลิ่น Alc ค่อนข้างแรงไปนิดกับความแรงที่ 43% Alc เจือด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของโอ๊ก
มาที่เรื่องรสชาติกันดีกว่าครับ ไม่มีคำว่าผิดหวังสำหรับเหล้าตระกูลนี้ครับ นุ่มนวลชวนฝัน ลื่นคอ ไม่มีอาการบาดลิ้นบาดคอ และบาดปากครับ ทำให้กระดกเพลินเกินห้ามใจ
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของควันคล้ายกับที่เรากินพวกอาหารรมควันประทับใจดีครับ ตั้งแต่ไปเล่น Laphoraig (ตัวนี้เดี๋ยวมีรีวิวให้อ่านครับ) เมื่อคราวก่อนโน้น ทำเอาผมจับกลิ่นรมควันได้ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับ ออกจะประทับใจกับกลิ่นนี้ไปเสียแล้วครับ
Afer Taste ทิ้งความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นแบบจิบได้เพลินๆ ชวนหัวทิ่มแบบไม่รู้ตัวได้อยู่เชียวครับ
พร้อมทั้งกลิ่น ...รมควันจางๆ อยู่ในปากอย่างอ้อยอิ่งชวนให้ลิ้มลองได้อย่างไม่รู้เบื่อ
ดื่มเจ้านี่คงต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ครับว่าอย่าเพลินเชียวครับ
คราวหน้าคงต้องคอยห้ามใจ ไม่ให้คล้อยตามความหวานละมุ่น จนทำให้ เหมือนคราวนี้ครับ
ต้องยอมรับว่าไม่ผิดหวังครับสำหรับเหล้าตระกูลนี้ เสียแต่ว่าเจ้าตัวนี้ค่อนข้างหนักไปนิดสำหรับผมครับกับความแรงที่ 43% Alc.
สำหรับเจ้านี่ตัวเค้าโฆกษณาตัวเองว่าเป็น Frist Cask ที่ทำการบรรจุแล้วนำไปเก็บไว้ที่ Cellar 13 ของโรงบ่มครับ
เรื่องสีนั้นเนื่องจากว่าเป็นการเก็บบ่มเพียง 10 ปี สีจึงยังไม่เข้มเท่าไหร่ ออกแนวทองใสๆ เนียนตาดีครับ
ส่วนในเรื่องของขานั้นจัดว่าค่อนขาดีเชียวครับ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไหลเอื่อยๆ ดีครับ
ส่วนของกลิ่นนั้นกลิ่น Alc ค่อนข้างแรงไปนิดกับความแรงที่ 43% Alc เจือด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของโอ๊ก
มาที่เรื่องรสชาติกันดีกว่าครับ ไม่มีคำว่าผิดหวังสำหรับเหล้าตระกูลนี้ครับ นุ่มนวลชวนฝัน ลื่นคอ ไม่มีอาการบาดลิ้นบาดคอ และบาดปากครับ ทำให้กระดกเพลินเกินห้ามใจ
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของควันคล้ายกับที่เรากินพวกอาหารรมควันประทับใจดีครับ ตั้งแต่ไปเล่น Laphoraig (ตัวนี้เดี๋ยวมีรีวิวให้อ่านครับ) เมื่อคราวก่อนโน้น ทำเอาผมจับกลิ่นรมควันได้ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับ ออกจะประทับใจกับกลิ่นนี้ไปเสียแล้วครับ
Afer Taste ทิ้งความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นแบบจิบได้เพลินๆ ชวนหัวทิ่มแบบไม่รู้ตัวได้อยู่เชียวครับ
พร้อมทั้งกลิ่น ...รมควันจางๆ อยู่ในปากอย่างอ้อยอิ่งชวนให้ลิ้มลองได้อย่างไม่รู้เบื่อ
ดื่มเจ้านี่คงต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ครับว่าอย่าเพลินเชียวครับ
คราวหน้าคงต้องคอยห้ามใจ ไม่ให้คล้อยตามความหวานละมุ่น จนทำให้ เหมือนคราวนี้ครับ
BUSHMILLS 10 Year
BUSHMILLS เหล้ายี่ห้อนี้ผมพึ่งรู้จักครับ เป็นเหล้า Irish ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าพูดถึง Irish Whiskey ผมจะเคยดื่มแต่ JAMESON เท่านั้น
คนที่ทำให้ผมรู้จัก้หล้ายี่ห้อนี้คือคุณPutsiland จาก http://www.montfort27.com/
โดยคุณPutsiland ได้แนะนำไว้ใน Irish Whiskey Father of all Whiskey http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=1586.0
คุณPutsiland ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจที่ทำให้ต้องหาBUSHMILLS มาดื่มก็คือ
๑.ข้าวที่ใช้เป็นข้าวบาเร์ที่ปลูกเฉพาะในไอแลนย์เท่านั้น ขอเปรียบเทียบอย่างนี้ครับถ้าฝรั่งมาเมืองไทยอยากรู้ว่าคนไทยกินข้าวประเภทไหน เราก็ให้เขาทานข้าวหอมมะลิซึ่งผลิตในไทยและรสชาติไทยแท้ๆ ถึงอยู่อีกมุมโลกกินข้าวหอมมะลิรสชาติก็ยังเหมือนเดิมเพราะข้าวหอมมะลิจากไทย ปลูกในไทย และเป็นรสชาติแท้ๆที่คนไทยทานอยู่มานานด้วยเหตุผลเดี่ยวกัน เมื่อเราดื่มBushmills เราจะได้รสชาติแท้ๆของข้าวบาเรย์จากประเทศไอแลนย์ เพราะเขาข้าวบาเรย์ที่ปลูกในประเทศไอแลนย์เท่านั้น
๒.ไม่มีการรมควันเพื่อปรุงแต่งรสชาติจึงไม่มีอิทธิพลของของพีท(Peat)ในเหล้า
๓.ง่ายต่อการดื่มเพราะเหล้าถูกกลั่นถึงสามครั้งทำให้วิสกี้นุ่มดื่มง่ายกว่าเก่า
๔.ในขั้นตอนสุดท้ายของการบ่มในถังเหล้าเชอรี่หรือถัง Port หรือ ถังเบอเบินร์อันนี้เป็นการเพิ่มรสชาติในเหล้า แต่รสชาติเมนหลักของเหล้ายังอยู่เหมือนเดิมทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นว่ารสชาติกลางของไอริสย์วิสกี้ควรเป็นอย่างไรก่อนจะดื่มตัวอื่นตามจะเข้าใจง่ายขึ้นเพราะวิสกี้ต่างๆจะมีลีลาต่างกัน ถ้าเราเอา Bushmills เป็นหลักแล้วค่อยๆเพิ่มอย่างอื่นเข้าไปเราจะเข้าใจวิสกี้มากขึ้น......
และนอกจากนี้ BUSHMILLS เป็นโรงกลั่นเหล้าที่ถูกกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือมีใบกลั่นเหล้าตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๖๐๘ นะครับ
แบบนี้จะให้ผมอดใจไม่ลองดื่ม BUSHMILLS ได้อย่างไรครับ
BUSHMILLS 10 Year
สี : สีเหลือทองอ่อนๆ
กลิ่น : หอมคล้าบกลิ่นผลไม้ หอมชื่นใจดีครับ
รส : รสนุ่ม เป็นเหล้าที่เนื้อบาง แต่ก็รู้สึกถึงรสผลไม้ และ มีรสหวานตาม
After Taste ได้ทิ้งความหอมของผลไม้ และมีหวานเล็กน้อย หอมอวลไว้ในปากนานปานกลาง และผมยังรู้สึกถึงกลิ่นโอ๊คค้างอยู่ที่คอ
รสชาติโดยรวม BUSHMILLS เป็นเหล้าที่รสนุ่มนวล ดื่มง่ายไม่บาดคอ มีความหอมคล้ายผลไม้ หอมแบบตรงไปตรงมาเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
Glenmorangie Single Malt Whisky ตอนที่ 2
Glenmorangie The Original 10 YO
เมื่อแรกสัมผัสกลิ่นนั้นหอมอวลยวนเย้าใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ กลิ่น Malt และ Oak ที่รุมเร้าเข้ามาเมื่อแรกเปิดขวดออกมา เมื่อรินออกมากลิ่นนั้นยิ่งยั่วยวนให้อยากลองมากขึ้นไปอีก สีนั้นออกแนวสีทองใสๆ ขาของเหล้านั้นไม่หนักมาก แต่ก็ไม่เล็กเกินควรความ ในเรื่องของรสชาตินั้นขอบรรยายแบบบ้านๆ ต่อครับ ว่ารสชาตินั้นนุ่มนวลชวนให้อยากลิ้มลองแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบที่เพื่อนๆ เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าขืน on the rock นี่มีหวังแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง คงได้ต่อขวดใหม่แน่ๆ ครับ ยิ่งแบบ neat ด้วยแล้วยิ่งหอมฟุ้งเชียวครับ แบบนี้ทำให้อยากลองตัวต่อยอดของเจ้านี่เข้าแล้วล่ะสิ
ตอนนี้เริ่มกลายเป็นพวก non-ice ไปแล้วครับ ด้วยความอยากสัมผัสกับรสชาติที่แท้จริง รสชาตินั้นออกจะดุดันเมื่อเทียบกับ Original แต่ความหอมยาวนานที่ทิ้งไว้ผิดกันเยอะครับ ประทับใจมากมายกับกลิ่นและรสชาติ จากลิ้นบ้านๆ ของผมว่ามีความหวานของคาราเมลและความหอมของวนิลาเจืออยู่ด้วยครับ อันนี้ไม่ confirm นะครับพี่น้อง
ว่างๆ ก็หามาลองกันได้ตามสะดวกครับ ส่วนผมนั้นขอไปนั่งละเลียดที่เหลือติดก้นขวดเล็กน้อยก่อนดีกว่าครับ
คงต้องหาอีกตัวที่เหลือ Glenmorangie The Lasanta Sherry Cask Extra Matured มาลองให้ได้ดีกว่าครับ
ว่าแต่ว่ามันจะหาราคาแบบนี้ได้อีกหรือปล่าวหว่า
ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ
เมื่อแรกสัมผัสกลิ่นนั้นหอมอวลยวนเย้าใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ กลิ่น Malt และ Oak ที่รุมเร้าเข้ามาเมื่อแรกเปิดขวดออกมา เมื่อรินออกมากลิ่นนั้นยิ่งยั่วยวนให้อยากลองมากขึ้นไปอีก สีนั้นออกแนวสีทองใสๆ ขาของเหล้านั้นไม่หนักมาก แต่ก็ไม่เล็กเกินควรความ ในเรื่องของรสชาตินั้นขอบรรยายแบบบ้านๆ ต่อครับ ว่ารสชาตินั้นนุ่มนวลชวนให้อยากลิ้มลองแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบที่เพื่อนๆ เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าขืน on the rock นี่มีหวังแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง คงได้ต่อขวดใหม่แน่ๆ ครับ ยิ่งแบบ neat ด้วยแล้วยิ่งหอมฟุ้งเชียวครับ แบบนี้ทำให้อยากลองตัวต่อยอดของเจ้านี่เข้าแล้วล่ะสิ
ในเรื่องของ After taste นั้นเจ้าขวดนี้ทำได้ค่อนข้างหน้าประทับใจครับ
กับความอวลที่ไม่มากไม่น้อย ไม่สั้นและก็ไม่ยาวเกินควรเรียกได้ว่ากำลังดีเชียวครับ
Glenmorangie Quinta Ruban 12 YO
ยอมรับโดยดีครับว่าเพลานี้หลงเสน่ห์ ของ Single Malt เข้าอย่างจังครับ
ด้วยความหอมหวานละมุ่นนุ่มลิ้น และไม่ hang over เมื่อตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ก็เลยตัดใจถอยเจ้าตัวนี้ Glenmorangie The Quinta Ruban จากห้างดอกบัวที่ราคาคงหาได้ยากแล้วเวลานี้ 1650.- ครับ ส่วนใหญ่ที่เห็นเดี๋ยวนี้ 2000+ ครับ
ด้วยความหอมหวานละมุ่นนุ่มลิ้น และไม่ hang over เมื่อตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ก็เลยตัดใจถอยเจ้าตัวนี้ Glenmorangie The Quinta Ruban จากห้างดอกบัวที่ราคาคงหาได้ยากแล้วเวลานี้ 1650.- ครับ ส่วนใหญ่ที่เห็นเดี๋ยวนี้ 2000+ ครับ
เมื่ออ่านดีๆ พบว่าเจ้าตัวนี้มีการบ่มสองครั้งก่อนออกขายครับ โดยจะบ่มในถัง Bourbon เก่าก่อนบ่มซ้ำอีกครั้งในถังที่เรียกว่า Ruby Port ตามคำแปลอย่างงูๆ ปลาๆ ของผมเข้าใจว่าเป็นถังไวน์เก่าครับ ทำให้กลิ่นและรสชาติที่ได้นุ่มละมุ่นกว่าเจ้าตัว Original ที่เหลือแต่ขวดไปแล้วเพลานี้
กลิ่นเมื่อเปิดขวดหอมกลิ่นของ Oak และกลิ่นคล้ายกับ Bourbon ลอยมาแตะจมูกบ้านๆ ของผมอย่างแรงครับ กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์นั้นเรียกไว้ว่าเบามากๆ จนแทบจะไม่มีเลยครับ เมื่อเทียบกับ JW Blue Label ขวดเล็กที่มีอยู่ครึ่งขวดเล็ก ผมว่า Blue ยังต้องถอยให้กับเจ้านี่ครับ
รสชาติเมื่อแรกสัมผัสกับลิ้นบ้านๆ ของผมนั้นประทับใจมากมายครับ จนเรียกได้ว่าแทบจะลืมเลือน JW Blue ที่ว่าแน่ๆ ไปได้เลยครับ ความหอมหวานที่ค้างคาอยู่ในปากเมื่อกลืนลงไปหมด ทิ้งความหวานไว้ที่ปลายลิ้นทำให้อยากสัมผัสได้อย่างชวนถวิลหาครับ
ว่างๆ ก็หามาลองกันได้ตามสะดวกครับ ส่วนผมนั้นขอไปนั่งละเลียดที่เหลือติดก้นขวดเล็กน้อยก่อนดีกว่าครับ
คงต้องหาอีกตัวที่เหลือ Glenmorangie The Lasanta Sherry Cask Extra Matured มาลองให้ได้ดีกว่าครับ
ว่าแต่ว่ามันจะหาราคาแบบนี้ได้อีกหรือปล่าวหว่า
Glenmorangie Lasanta
สำหรับตัวนี้เป็นเหล้าที่ไป Finished ใน Sherry oak cask จากสเปนครับ ไม่เหมือนกับ The Quinta Ruban ที่ Finished ใน Port Cask จากโปรตุเกสครับ
กลิ่นจะออกแนวแรงกว่า quinta ruban ด้วยความแรงที่ 46%vol ครับแต่ก็จัดว่าค่อนข้างน้อยกว่าพวก Blended whisky ครับ เมื่อเททิ้งไว้สักครู่กลิ่นของ Oak จะเด่นมากขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับอากาศครับแต่จะออกแนว Strong กว่าตัว Quinta ที่ให้ความหอมแบบนุ่มนวลครับ
กลิ่นจะออกแนวแรงกว่า quinta ruban ด้วยความแรงที่ 46%vol ครับแต่ก็จัดว่าค่อนข้างน้อยกว่าพวก Blended whisky ครับ เมื่อเททิ้งไว้สักครู่กลิ่นของ Oak จะเด่นมากขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับอากาศครับแต่จะออกแนว Strong กว่าตัว Quinta ที่ให้ความหอมแบบนุ่มนวลครับ
รสชาติเมื่อแรกสัมผัส รู้สึกถึงความอุ่นๆ กรุ่นอยู่ในปาก ปนด้วยความร้อนแรง ออกแนวเผ็ดร้อน
เมื่อทิ้งค้างไว้จะพบกับความเร่าร้อนในรสชาติ และเมื่อได้กลืนลงคอจะพบกับความสดชื่นที่ชวนถวิลหาในความร้อนแรงของเจ้านี่ครับ
After Taste นั้นเยี่ยมครับ ความร้อนแรงแฝงความเร่าร้อนแบบที่ชวนถวิลหาไว้ให้ ไม่เหมือนกับ Quinta Ruban ที่ทิ้งความนุ่มนวลชวนฝันไว้ เปรียบ Lasanta เหมือนสาวน้อยที่เร่าร้อน ส่วน Quinta Ruban เหมือนสาวหวานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ครับ
After Taste นั้นเยี่ยมครับ ความร้อนแรงแฝงความเร่าร้อนแบบที่ชวนถวิลหาไว้ให้ ไม่เหมือนกับ Quinta Ruban ที่ทิ้งความนุ่มนวลชวนฝันไว้ เปรียบ Lasanta เหมือนสาวน้อยที่เร่าร้อน ส่วน Quinta Ruban เหมือนสาวหวานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ครับ
The Lasanta ขวดนี้เหมาะในยามเหนื่อยล้าต้องการความเร่าร้อนมาฟื้นฟูกำลังกายกำลังใจครับ แต่หากต้องการความนุ่มนวลชวนฝันหรือผ่อนคลายความตึงเครียดแล้วละก็แนะนำ quinta ruban ในงบที่ไล่เรี่ยกันครับ ถ้างบน้อยแต่ต้องการความนุ่มนวลแล้วล่ะก็ Gentleman Jack เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ
ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
Tarisker 10 years
Talisker 10 years
สี : สีเหลืองอำพัน
กลิ่น : กลิ่นควันนำมาเลยครับ ตามมาด้วยกลิ่นคล้ายๆกลิ่นไอทะเลแฝงอยู่ครับ
รส : เหมื่อนอมควันไว้ในปากเลยครับ นอกจากกลิ่นควันอวนในปากแล้ว ยังมีรสหวานบางๆ เปรียวเล็กน้อยตอนปลาย และรสเค็มบางๆติดปลายลิ้น เนื้อของเหล้าจัดอยู่ในกลุ่มเนื้อแน่น อวบอิ่ม เต็มไม้เต็มมือ(Full Body) กลิ่นรสในปากอยู่นานมาก(หลายนาที่เลยครับ) เต็มไปด้วยความกลิ่นและรสของควันทั้งในช่องปาก และ โพรงจมูก กลิ่นควันอบอวนอยู่ในปากครับ
Talisker 10ปี เป็นเหล้าที่มีความนิ่มนวลมากไม่บาดปากและคอ
ลองใส่น่ำแข็ง น้ำแข่งได้ช่วยไล่กลิ่นควันที่ฉุ่นเชียวออกไปได้มาก ทำให้กลิ่นกลมกล่อมขึ้น(มีBlanceที่ดีขึ้น/แค่ปริมาณกลิ่นลดลง) แต่ในส่วนของรสชาตินันถึงใส่น้ำแข็งช่วยแต่แนวของรสชาติคงเส้นคงวามาก...ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นและรสของควัน เพียงแต่ลดปริมาณและความรุนแรงลงจากการลองใส่น้ำแร่ผสมไปเล็กน้อย ช่วยลดกลื่นควันลงนิดหน่อย และทำให้กลิ่นหวานๆชัดขึ้นมา...ผมชอบกลิ่นที่ผสมน้ำแร่ลงไปหน่อยแบบนี้ครับ รสชาติและกลิ่นนั้นรู้สึกว่ามีสิ่งที่ให้ค้นหามากขึ้น...กลิ่นและรสของควันลดลง(แต่ก็ยังมีกลิ่นควันและรสอมควันที่เป็นตัวนำอยู่นะครับ)ทำให้กลิ่นและรสที่แฝงอยู่ชัดเจนน่าค้นหามากขึ้น ปริมาณกลิ่นยังแรงดีใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรเสีย Talisker ก็คือ Talisker ถึงแม้จะดื่มวิธีไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลิ่นและรสของ Talisker ได้
Highland Park 12 years
Highland Park 12 years
สี : เหลืออ่อน
กลิ่น : มีกลิ่นควันนำ(แต่น้อยกว่า Tarisker) กลิ่นตาม(กลิ่นรอง)ออกหวานๆเล็กๆผสมกลิ่มผลไม้จ่างๆ ซ่อนใต้กลิ่นควัน ลองใส่น้ำแร่ไปเล็กน้อย กลิ่นยังมีปริมาณที่ดีอยู่ แต่ไล่กลิ่นควันได้นิดหน่อย ทำให้กลิ่นหอมหวานที่อยู่รองลงไปเปิดเผยมากขึ้น โดยร่วมของกลิ่นของความหลากหลายมากกว่าTarisker ใครที่ไม่ชอบกลิ่นควันมากๆแบบ Tarisker ก็ลองมาชิม Highland Park 12y ดูครับ
รสชาติ : เนื้อกลางๆไม่แนนมาก รสนุ่มนวลไม่บาดปากและคอ(แต่นุ่มสู้ Tarisker ไม่ได้ครับ) พอดื่มผ่านคอแล้วกลิ่นหอม(กลิ่นควันนำ)หอมอบอวนในช่องปากและขึ้นจมูกยาวพอสมควร หากผสมน้ำแร่อาจทำให้เนื้อของเหล้าบางไปจนเคียวไม่มันได้นะครับ ถึงแม้ Highland Park 12y จะมีรสชาติ และ กลิ่นของควันนำ แต่หากนำไปเทียบกับ Tarisker 10y แล้ว Highland Park ยังมีกลิ่นควันเป็นรอง แต่ก็ให้กลิ่นและรสที่แต่ต่างออกไป
สำหรับ Highland Park 12y ผมไม่ชอบผสมน้ำ หรือ น้ำแร่ครับ มันทำให้รสและกลิ่นบางเกินไปครับ
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
Aberlour 10 Year
Aberlour 10 Year
Aberlour 10 Year เปิดดื่มแรกๆผมไม่ค่อยชอบเลยครับ....รสชาติมันรุ่นแรงมากไปแต่ไปๆมาๆ...กับเป็นเหล้าตัวหนึ่งที่ชอบมากในระดับราคาพันต้นๆนะครับ
สี : สีเหลืองน้ำตาล(เหลืออำพัน)
กลิ่น : ปริมาณกลิ่นแรงมาก กลิ่นหอมสดชื่นของเครื่องเทศและมินต์ ทดลองผสมน้ำแร่ไปเล็กน้อย...ปริมาณกลิ่นกลิ่นยังดีอยู่ แต่มีกลิ่นผลไม้ที่อมเปรียวเด่นขึ้นมา
รส : เป็นเหล้าที่มีโครงสร้างปลานกลางถึงหนัก(Medium - Full) แต่ก็ให้ความนุ่มนวลดี ไม่บาดคอ รสขมอมหวานเล็กน้อย หากผสมน้ำแร่ลงไปรสจะนุ่มนวลขึ้นและมีความหวานมากขึ้น
After Teste : กลิ่นรสในปากและโพรงจมูกแบบเรื่อยๆนวลๆนิ่มๆสะอาดๆ กลิ่นในปากรับรู้ถึงเครื่องเทศและผลไม้อมเปรียวเล็กน้อย
สรุปเลยแล้วกันครับ...Aberlour 10 Year จากที่ผมไม่ค่อยชอบในตอนแรกๆ กลายมาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านของผมเลยครับ
Aberlour 10 Year เปิดดื่มแรกๆผมไม่ค่อยชอบเลยครับ....รสชาติมันรุ่นแรงมากไปแต่ไปๆมาๆ...กับเป็นเหล้าตัวหนึ่งที่ชอบมากในระดับราคาพันต้นๆนะครับ
สี : สีเหลืองน้ำตาล(เหลืออำพัน)
กลิ่น : ปริมาณกลิ่นแรงมาก กลิ่นหอมสดชื่นของเครื่องเทศและมินต์ ทดลองผสมน้ำแร่ไปเล็กน้อย...ปริมาณกลิ่นกลิ่นยังดีอยู่ แต่มีกลิ่นผลไม้ที่อมเปรียวเด่นขึ้นมา
รส : เป็นเหล้าที่มีโครงสร้างปลานกลางถึงหนัก(Medium - Full) แต่ก็ให้ความนุ่มนวลดี ไม่บาดคอ รสขมอมหวานเล็กน้อย หากผสมน้ำแร่ลงไปรสจะนุ่มนวลขึ้นและมีความหวานมากขึ้น
After Teste : กลิ่นรสในปากและโพรงจมูกแบบเรื่อยๆนวลๆนิ่มๆสะอาดๆ กลิ่นในปากรับรู้ถึงเครื่องเทศและผลไม้อมเปรียวเล็กน้อย
สรุปเลยแล้วกันครับ...Aberlour 10 Year จากที่ผมไม่ค่อยชอบในตอนแรกๆ กลายมาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านของผมเลยครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)