ข้อมูลเบื้องต้นนั้นหาไม่ได้ครับ ว่าผ่านการบ่มในถังไม้ชนิดได้บ้างครับ
เริ่มที่สีก่อนเช่นเคยครับ สีเมื่ออยู่ในขวดนั้นมองแล้วออกคล้ายสีของทองแดงครับ
แต่เมื่อรินออกมาแล้วออกสีทองใสๆ อยู่เหมือนกันครับ
เมื่อลองแกว่งเพื่อดูขาพบว่าขาค่อยข้างใหญ่และหนักไหลเอื่อยๆ เพราะผ่านการบ่มนานถึง 12 ปี ใช้ได้อยู่เหมือนกันครับ
ว่าในเรื่องของกลิ่นบ้างครับ วูบแรกที่สูดปื้ดเข้าไปชวนให้นึกถึงเจ้าตัว Laphoraig อยู่ทีเดียวครับ
กลิ่นของ oak ค่อนข้างดีครับ เจือด้วยกลิ่นของผลไม้จำพวกพีช และกลิ่นสะอาดๆ คล้ายกลิ่นน้องสาหร่ายด้วยครับ
แถมพ่วงด้วยกลิ่นควันไฟอ่อนของถ่านที่นำมากรอง (ครั้งแรกที่ลอง SM แล้วได้กลิ่นนี้ชัดเมื่อเทียบกับ American Whiskey)
แต่ทุกกลิ่นก็ผสานกันได้อย่างลงตัวเป็นเอกลักษณ์ดีครับ สำหรับจมูกบ้านๆ ของผมครับ
ว่ากันที่รสชาติกับลิ้นบ้านๆ ของผมกันบ้างครับ เผ็ดร้อนนิดๆ แต่ไม่บาดคอมากมายจัดว่าลื่นคอดีอยู่ครับ
กลิ่นเมื่ออยู่ในปากแล้วยิ่งชวนให้นึกถึงน้องสาหร่าย Laphoraig เป็นอย่างยิ่งครับ มันคล้ายแต่ก็แตกต่างอย่างบอกไม่ถูกครับ
แต่ในเรื่องของความลื่น ความหวานติดปลายลิ้น และกลิ่นของควันที่ทิ้งเอาไว้เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้สู้ Laphoraig ไม่ได้แน่ๆ ครับ
After Taste นั้นสำหรับผมจัดว่ากลางๆ ไม่เด่น ถ้าถามว่าน่าประทับใจหรือปล่าวนี่บอกไม่ถูกอยู่เหมือนกันครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ อย่างผม
เจ้าตัว Glen Elgin 12 Years นี่ทิ้งกลิ่นควันจางๆ ไว้ในปาก ไม่ค่อยมีกลิ่นของ oak กับความหวานติดปลายลิ้นเท่าไหร่ครับ
จัดได้ว่าดีกว่า Blend Whisky แต่ยังไม่น่าประทับใจในขั้นของ SM ครับ
ในงบใกล้เคียงกันนี่ผมว่าหนีไปเล่น The Macallan Fine Oak 10 Years หรือ Glenmorangie ดีกว่าครับ
สรุป สำหรับผมแล้ว เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้เหมาะสำหรับไว้เปลี่ยนบรรยากาศ
สำหรับคนที่อยากหาความแตกต่าง และอยากลองอะไรใหม่ๆ มากกว่าที่จะใช้นั่งชิวๆ คุยกับเพื่อนครับ
ยังไงเดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ผมจะลองแบบ on the rock อีกสักรอบครับ เพราะแบบ neat นี่ไม่เหมาะกับเจ้านี่จริงๆ ครับ
เริ่มที่กลิ่น เหมือนมาถูกทางแล้วครับรอบนี้ กลิ่นของผลไม้จำพวกพีช เด่นชัดขึ้นครับชวนให้นึกถึงตระกูล JW ครับ
ยิ่งทิ้งไว้สักพัก กลิ่นของโอ๊กเริ่มมาแล้วครับรอบนี้
รสชาติ อืม... โอ้ว... อุมามิขึ้นครับรอบนี้ นุ่มนวลได้ที่ขึ้นมาเชียวครับ กลิ่นน้องสาหร่ายแบบ Laphoraig หายไปเชียวครับ
ความเผ็ดร้อนลดลงเยอะเชียวครับ ทิ้งกลิ่นหอมควันบางๆ เอาไว้ พร้อมความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นมากขึ้นกว่าเดิม
After Taste นั้นจัดได้ว่าชัดเจนและดีขึ้นมากเชียวครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ ของผม ชวนให้อยากละเลียดมากขึ้นครับ
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้ถ้าเติมน้ำเย็นลงไปแหล่มขึ้นมาเชียวครับ ไม่เหมาะสำหรับ Neat เลยครับสำหรับผม
เดี๋ยวไปต่อกันที่ On The Rock ครับ
รอบนี้ขอมาลองกันแบบ on the rock ครับ
เริ่มที่กลิ่น
เริ่มที่กลิ่น
แหม... มันยิ่งชวนให้นึกถึง JW จำพวก Green หรือ Gold หนักขึ้นไปอีกครับ
แต่....
แต่....
รสชาติ โอ้ว... พระเจ้าช่วย กล้วยทอด ไหง มันออกแนว หวานขมหว่า.... เอื้อก.... ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลยครับ กับ on the rock
After Taste กล้วยทอดแว้ว.... ไม่มีเอาเสียเลยครับ สำหรับผมง่ะ
หนำซ้ำ โอ้ว... จิ๊ดเลยครับ มาเร็วเลยครับ... มึนแว้วววว..... คร๊าบพี่น้องงงงงง
After Taste กล้วยทอดแว้ว.... ไม่มีเอาเสียเลยครับ สำหรับผมง่ะ
หนำซ้ำ โอ้ว... จิ๊ดเลยครับ มาเร็วเลยครับ... มึนแว้วววว..... คร๊าบพี่น้องงงงงง
บ่าย บ้าย บาย ครับ... สำหรับ Glen Elgin On The Rock
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้สำหรับผมแล้วคงต้องผสมน้ำเย็น แบบ เหล้า 3 น้ำเย็น 1 ลงตัวสุดๆ ครับ
แต่แบบ on the rock แล้วคงต้องลาขาดครับขึ้นเรย... คร๊าบ....
กับความแรงที่ 43 ดีกรี...
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้สำหรับผมแล้วคงต้องผสมน้ำเย็น แบบ เหล้า 3 น้ำเย็น 1 ลงตัวสุดๆ ครับ
แต่แบบ on the rock แล้วคงต้องลาขาดครับขึ้นเรย... คร๊าบ....
กับความแรงที่ 43 ดีกรี...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น