คนบ้าเหล้า |
ถึง Ardbeg แล้วครับ |
และแล้วก็ถึงเวลาพนักงานสาวผู้บรรยาย...อีกแล้วรู้สึกที่นี่จะไม่ค่อยใช้ ผู้ชายกัน ก็พาเข้าชมโรงงานในช่วงแรกแกก็เล่าเรื่องประวัติโรงกลั่นยาวมากผมจะขอเล่า แบบเนื้อๆ หล่ะกันครับโรงกลั่นนี้เปิดประมาณปีค.ศ. 1798 และเริ่มทำเป็นการค้าช่วงปี 1815 และในปี 1886 ถือเป็นยุคทองของ Ardbeg สามารถผลิตวิสกี้ได้ถึง 300,000 แกนลอนต่อปี แต่เมื่อมาถึงช่วงปี 1970 ก็ถือเป็นยุคที่ตกต่ำของวิสกี้จากเกาะ Islay ครับมีโรงกลั่นในเกาะทยอยปิดหลายโรง ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ Ardbeg เองก็หยุดทำมอลต์เองในปี 1977 และในปี 1981 ทางโรงกลั่นก็ปิดตัวลง และกลับมาเริ่มดำเนินกิจการอีกครั้งในปี 1989 สุดท้ายในปี 1997 โรงกลั่นก็ถูกซื้อโดย Glenmorangie ครับซึ่งผมคิดว่าถ้าใครที่ตามดื่ม Glenmorangie จะรู้สึกว่า Ardbeg จะออกผลิตภัณฑ์ที่มีการตลาดคล้ายกัน เมื่อฟังบรรยายจบก็พาไปดูห้องที่เคยทำมอลต์ครับซึ่งเป็นอดีตไปแล้วที่ต่อมา ก็เป็นการโม่ก็จะคล้ายๆ โรงกลั่นที่แล้วๆ มา แต่โรงกลั่นนี้ก็จังหว่ะดีครับเค้ากำลังทำ Mash พอดีก็เลยได้ดูเพิ่มครับ Mash คือการเอามอลต์ไปผสมเคี่ยวกับน้ำร้อนเพื่อให้แป้งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลซึ่งน้ำ ที่ได้จากขั้นตอนนี้ก็จะถูกไปหมักกับยีสต์เป็น Wash ต่อไปครับในส่วนต่อมาก็เป็นของทำ Wash ห้องนี้แม้ผมจะผ่านมา 2 โรงกลั่นแล้วก็ยังทำใจให้คุ้นไม่ได้กลิ่นมันแรงมากๆ เลยครับยิ่งที่ Aedbeg ถือว่าหนักสุดครับ ต่อมาเป็นห้องกลั่นครับที่นี้จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปจึงไม่ได้เก็บภาพมาฝาก ครับ สุดท้ายก็เป็นห้องบรรจุลงถังมีอุปกรณ์บรรจุและตราชั่งน้ำหนักถังและวิสกี้ ครับ ซึ่งผมและท่านผบ.ก็แอบไปชั่งพบว่าน้ำหนักมันขึ้นมาคนละ 5กิโล ผมเดาว่าเค้าต้องถ่วงอะไรไว้แน่ๆ
เครื่องโม่มันเป็นอย่างนี้ครับ |
โม่ออกมาแล้วจะเป็นแบบนี้ครับ ส่วนที่นำใช้คือ Grist ครับ |
การ Mashing ข้างในจะอุ่นๆ |
ถัง Wash ใหญ่ไหมครับ |
ถังนึงสูงประมาณ 3-4 เมตรได้ครับ |
เครื่องบรรจุเหล้าใส่ถังครับ |
ลองเปรียบเทียบไม้ที่ใช้ทำถังดูครับ แบบเผากับไม่เผา กลิ่นต่างกันมากครับ |
ขอท่านผบ.ไปตั้งที่บ้านซักชุด (ท่านตอบว่ายอมมาด้วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว) |
ลองแบบเต็มๆ 5 ตัวรวด รู้สึกได้ว่าปากพองเบย |
อยากได้อันนี้อะ |
ทานระหว่างอาหารที่ Ardbeg เบียร์ Islay Ales ตัวนี้เป็น Finlaggan Ale ชอบสุดๆ ครับ หอมสมุนไพร รสขมชัดเจนถ้าได้มาเที่ยว Islay อย่าลืมลองนะครับ |
หลังจากพักทานอาหารเที่ยงที่ Ardbeg เป็นที่เรียบร้อยเราก็ขึ้นรถเดินทางไปเที่ยวชม The Kildalton High Cross ซึ่งเป็นไม้กางเขนที่มีอายุกว่า 1,300ปี เป็นหลักฐานว่าศาสนาคริสต์ได้เผยแพร่เข้ามาในสกอตแลนด์เมื่อ 1,300ปีที่แล้วโดยบนการเขนจะมีภาพแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อยู่ด้วยครับ หลังจากถ่ายรูปเป็นที่พอใจแล้วก็นั่งรถย้อนกลับมาเพื่อชมโรงกลั่นที่ผมเองก็ เป็น Fan Club และเพื่อนๆ หลายคนก็น่าจะรู้จักดีในนามน้องสาหร่าย Laphroaig นั่นเองโรงกลั่นนี้เมื่อเข้ามาด้านในเค้าจะมีโปรแกรมให้สมัคร Friend of Laphroaig ครับใครสมัครจะได้วิสกี้ขวดน้อย 1ขวดก็อยู่ที่ว่าช่วงนั้นเค้าแจกตัวไหนนะครับ สำหรับผมที่ได้มาเป็นตัว 10ปี Cask Strength เยี่ยมไปเลย นอกจากวิสกี้แล้วเค้าจะให้เราเอาธงชาติของเราไปปักที่หน้าโรงกลั่นด้วยครับ เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว สำหรับการเข้าชมที่นี่จะเสียค่าใช้จ่ายคนละ 6ปอร์นพร้อม 1 ดื่มครับ ซึ่งพี่คนขับรถบอกว่าดื่มแล้วไปคุยกับเค้าดีๆ จะขอชิมตัวอื่นเพิ่มได้ครับ คณะผมก็เข้าเกือบหมดทุกคนยกเว้นพี่รถถังรัสเซียแกบุกมาซื้อเหล้าแล้วหาทำเล เหมาะๆ นั่งดื่มยาวเลยครับ(พี่แกแน่นอนจริงๆ) อันนี้ต้องยอมรับอย่างนึงครับว่าการเที่ยวโรงกลั่นเหล้าเนี่ยโรงแรกๆ มันก็ตื่นตาตื่นใจครับแต่พอหลังๆ มันเหมือนฉายหนังซ้ำเพราะขั้นตอนจะซ้ำๆ กันอาจจะมีเทคนิกต่างกันนิดหน่อยหรือบางจังหว่ะเค้าทำกิจกรรมอะไรกัน แต่ถ้าคนที่ไม่ได้สนใจอย่างท่านผบ.ก็เซ็งครับ แต่สำหรับผมยังคงตื่นตาตื่นใจทุกโรงกลั่นเหมือนเดิมเพราะได้ดูการวาง Layout รูปแบบอุปกรณ์ได้เพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ หรือแก้ไขข้อมูลเก่าๆ มันทำให้รู้สึกว่าเจอสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลาครับ พอได้เวลาเจ้าหน้าที่สาว(...อีกแล้ว) ก็พาเราเดินเที่ยวครับในช่วงแรกก็เล่าประวัติครับโรงกลั่นนี้เริ่มดำเนินกิจ การปีค.ศ. 1810 และเริ่มดำเนินกิจการวิสกี้ปี 1815 ในปี 1887 พบว่า Laghroaig มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เพราะคุณภาพน้ำต่างกับที่อื่น ในปี 1923 ทางโรงกลั่นเริ่มใช้ถัง ex-bourbon และเริ่มส่งออกวิสกี้ช่วงปี 1929 และในปี 1994 ได้เริ่มกิจกรรม Friend of Laphroaig ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 500,000คน หลังจากฟังบรรยายแล้วก็ไปดูขั้นตอนแรกคือการทำมอลต์ครับซึ่งเป็นขั้นตอนที่ สำคัญมาก
คู่กับ The Kildalton High Cross ของจริงอันใหญ่มาก |
ถึงแล้วครับ |
พี่รถถังรัสเซียในตำนาน |
รถมาส่งข้าวBarleyพอดี |
ห้องทำมอลต์ใหญ่มาก มีหลายชั้นด้วยครับ |
มอลต์จะมีรากงอกออกมาครับ |
ห้องรมควันเข้าไปออกมาทีอย่างกับไปร้านหมูกะทะ |
ลองอังดูไม่ร้อนอย่างที่คิดครับ |
หม้อนี้แลหมักมาแล้ว 28วัน |
หม้อกลั่น 7หม้อเรียงราย |
การคัดเลือกน้ำเหล้าต้องใช้อุปกรณ์ตัวนี้ช่วยครับ |
โรงบ่มวิสกี้ครับ อยากจะงัดลูกกรงเข้าไปแล้วเอาหลอดดูดครับ |
ที่ไปเนียนขอชิมเพิ่มมา รสชาติดีเลยครับอยากได้ซักขวดจัง |
ทั้งทริปนี้ผมชอบขวดนี้สุดครับ น้ำหนักดีมากๆ เลยครับ ตอนนี้เสียดายไม่ได้ซื้อ |
ปักธงชาติแล้วนะครับ (แต่ป่านนี้คงแปลงสภาพเป็น Peat ไปเรียบร้อย) |
Lagavulin ที่ตั้งโรงกลั่นสวยมากเลยครับ |
ถึงแล้วครับ ตอนนี้เริ่มตึงๆ แล้วครับ |
Double Matured Lgv 4/500 ดื่มแล้วหลงรักเลย ฝีมือจริงๆ ครับ |
Lagavulin 12ปี Cask Strength 2012 ยังคงความสดได้เต็มๆ ไม่เปลี่ยนแปลง |
โบกรถกลับหล่ะครับ |
http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=2174.0 และ https://www.facebook.com/yenyumramsura นะขอรับกระผม
สวัสดีครับ
ตอบลบติดตามอ่านมาซักพัก วันนี้มาอ่านเรื่องเที่ยวโรงกลั่น
พอเจอ Lagavulin นี่ตบะแตก เลยต้องขอแสดงความคิดเห็นครับ
ว่าน่าอิจฉาสุดๆ
ตอนนี้ส่วนตัวผม Lagavulin ตัว 12yo cask strength (limited)
เป็นตัวที่ Fin ที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิต
บ้าขนาดเอารูปโรงกลั่นมาทำเป็น wallpaper คอม (ไม่ใช่บ้านนะครับ)
อยากไปบ้างครับ Islay กับ Campbeltown...
Lagavulin, Ardbeg (Uigeadail, Corryvreckan), Springbank (+Haz +Longrow)
เหล้าที่หาซื้อไม่ได้ในเมืองไทยทั้งนั้น... (ไม่ก็หาได้ยากมาก และราคาบ้าเลือดมาก)
อีกครั้งครับ... น่าอิจฉา-----
ปล. ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ ตามอ่านอยู่เรื่อยๆ
ขอบคุณมากครับที่ติดตาม Blog ของพวกเราครับ ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ฝันอยากให้บ้านเรามีตัวเลือกเยอะๆ ไม่ต้องขนาดสก๊อตขอแค่สิงคโปร์ ญี่ปุ่นก็ยังดีครับ
ลบIslay เป็นเมืองที่ถ้าเป็นคอวิสกี้และมีโอกาสต้องไปครับ ตัวผมเองก็ยังคิดว่าจะกลับไปอีกสักครั้งครับ
Lagavulin กับ Ardbeg ยังพอเห็นบ้างใน Duty Free ที่สิงคโปร์ แต่ Springbank นี่ยากหน่อย
ปล.ถ้าชอบ Lagavulin ลองหา Port Ellen มาลองครับ เปรียบดั่ง Port Ellen คือพระราชา และ Lagavulin คือรัชทายาทครับ