พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บ้าเหล้าทัศนะศึกษา ณ ดินแดนควัน Islay (ตอนแรก)


คนบ้าเหล้า

สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากที่ผมได้เขียนรีวิววิสกี้ไปเมื่อเดือนที่แล้ว เข้าเดือนใหม่ก็ต้องหาของมารีวิวกันอีกซักตัว...แต่รีวิวของเดือนนี้ผมขอ เล่าถึงประสบการณ์ไปทัศนะศึกษาในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาครับ โดยการไปทัศนะศึกษาในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณท่านผบ.ทบ.(ภรรยาที่เคารพ) ที่ให้การสนับสนุน พี่เก่งที่เป็นผู้ให้แรงบันดาลใจตั้งแต่ผมเริ่มมาบ้าเหล้า และเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สมาชิกมักเหล้าคลับทุกคนที่เป็นกำลังใจถีบให้ความบ้าเหล้าของผมถึงขีดสุด


ก่อนเข้าเรื่องผมขอเล่าที่มาซักนิดนะครับคือผมเองเริ่มต้นก็เป็นคนที่ดื่ม เหล้าธรรมดาตามโอกาสเหมือนคนทั่วไป แต่อยู่มาวันหนึ่งเมื่อประมาณ 5ปีที่แล้วนั่งคิดอะไรเพลินๆ แล้วเกิดความสงสัยว่าเหล้า Blue Label ที่ขวดนึ่งราคา 7-8พันบาทนี่คือสุดยอดวิสกี้จริงหรือ ด้วยความขี้สงสัยของมนุษย์จึงต้องหาคำตอบจากอากู๋ จนมาทราบว่าวิสกี้ในโลกนี้มันมีมากมายหลายชนิด อ่าว...เป็นกบมาตั้งนาน (ถ้าเพื่อนๆ คนไหนยังไม่ทราบชนิดของวิสกี้ลองหาข้อมูลดูครับทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษมีเยอะมาก) ซึ่งตัว Blue Label ก็ถือเป็นระดับบนของ Blend Whisky อ่าวแล้วอะไรหล่ะที่เหนือกว่า Blend Whisky ผมก็มาพบวิสกี้อีกชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนผสมของ Blend Whisky นั้นคือ Single Malt Whisky เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยเลยเอาซะเลย เอาหล่ะผมก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยพบว่า Scotch Single Malt Whisky มันถูกแบ่งรสชาติออกเป็นเขตที่ผลิต ได้แก่ Highland, Lowland, Speyside, Campbeltown, Islay, Island เอาหล่ะงั้นก็ต้องเริ่มหามาลองให้ครบทุกเขตจากวันนั้นผ่านมาอีก 2 ปีทั้งลองชิม หาข้อมูลในอินเตอร์เนท อ่านหนังสือ แลกเปลี่ยนทัศนะคติกับเพื่อนๆ จนมารู้ตัวว่า ชอบวิสกี้ที่มีกลิ่นควันที่มีกลิ่น รสที่ค่อนข้างหนักถ้าเปรียบเป็นมวยก็รุ่น Heavyweight คือเน้นหมัดหนักไม่เน้นความพริ้ว งั้นขอเป็นผู้เสพควันหล่ะกัน(ใครตามอ่านรีวิวของผมช่วงปีหลังๆ มานี้จะหนักไปทางวิสกี้ที่มีกลิ่นควัน) เจอวิสกี้ที่มีควันที่ไหนวิ่งเข้าใส่หมดเวลาไปคุยกับใครผมก็เชียร์ไปทางสาย ควันตลอด ซึ่งโรงกลั่น Single Malt Whisky หลายๆ โรงที่มีชื่อเสียงก็คงหนีไม่พ้นเกาะ Islay คิดได้ดังนั้นก็...เกิดอาการอยากไปอะ แล้วจะไปยังไงหล่ะทัวร์ไป Scotland เค้าก็จะพาไป Edinburgh ต่อเองไป Highland ไป Lowland ยังพอได้อยู่เพราะทางราบ แต่จะไปเกาะนี่มันดูยากจัง แต่ฟ้าก็ประทานความช่วยเหลือจากคุณกอปสมาชิกที่ไปเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ช่วยแนะนำให้ และด้วยเวลาที่ลงตัวมากๆ จึงเกิดการทัศนะศึกษาที่เกาะ Islay ครั้งนี้ขึ้น



มาพบคุณกอปที่ London ก่อนเดินทาง
 


การไปทัศนะศึกษาครั้งนี้เริ่มต้นที่เมือง Edinburgh นั่งรถ Mini Bus โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงไปที่เมืองท่า Oban ที่เมืองนี้มีโรงกลั่น Oban ที่มีชื่อเสียงครับผมได้เข้าไปดูตรง Shop และถ่ายรูปหน้าร้านแอบเสียดายที่ไม่ได้เข้าชมเพราะเวลามีจำกัดแต่ไม่เป็นไร เป้าหมายของเราคือเกาะ Islay นั่งรถต่อไปอีกประมาณเกือบ 2ชั่วโมงซึ่งก็ได้แวะตามวัดเก่าๆ บ้างก่อนจะถึงท่าเรือ Kennacraig เพื่อนั่งเรือข้ามไปที่เกาะ บนเรือมีทั้งอาหารเครื่องดื่มแบบครบครับ และที่แน่ๆ วิสกี้จากเกาะ Islay มีครบทุกตัวขายในราคาเพียงดื่มละร้อยกว่าบาท


รถคู่กายนั่งได้ 17ที่นั่งพร้อมคนขับ
วัดระหว่างทาง
แกะมากมายที่ไม่ต้องไปดูไกลถึงสวนผึ้ง

ท่าเรือ Kennacraig
นอกจากวิสกี้แล้วยังมี Islay Ales อีกครับ
ระหว่างทางก็แอบเห็นเกาะ Jura เป็นสัญญาณว่าเราใกล้จะถึงกันแล้วครับ โดยใช้เวลาบนเรือเกือบๆ 2ชั่วโมง และหลังจากนั้นก็นั่งรถต่อมาอีกเกือบๆ 1 ชั่วโมงเพื่อมาพักที่เมือง Bowmore ครับ อยากจะอธิบายความรู้สึกว่าเฮ้ยมาถึงแล้วหว่ะไอ้ที่เราหลงไหลมันอยู่ตรงหน้า แล้วอีกแค่วันเดียวเราก็จะบุกเข้าไปยึดตีเป็นเมืองขึ้นซะ 555


ใกล้ถึงแล้วครับทางซ้าย Islay ทางขวา Jura

ถึงเมือง Bowmore โดยไม่ต้องสืบเพราะจอดรถหน้าโรงกลั่น Bowmore กันไปเลย

 วันที่ 2 ของการเดินทางผมตื่นมากินอาหารเช้าชมวิวของเกาะ Islay อะไรมันจะแจ่มขนาดนี้วันนี้ผมต้องออกเช้ากว่าชาวบ้านนิดหน่อยเพราะผมพักอยู่ ที่พักเดียวกับคนขับรถต้องออกก่อนเพื่อไปรับสมาชิกร่วมทางท่านอื่นๆ โดยที่พักของผมเป็นบ้านเล็กๆ มีห้องนอนไม่กี่ห้อง เพราะที่เกาะ Islay เป็นเกาะขนาดกลางเนื้อที่ประมาณ 239sq.mi. มีคนอยู่ประมาณ 3พันกว่าคน ส่วนใหญ่ทำประมง ทำฟาร์ม หรือไม่ก็ทำโรงกลั่น ในปีนึงมีคนเข้าไปเที่ยวประมาณ 4-5หมื่นคน ดังนั้นถ้าเทียบกับภูเก็ตบ้านเราที่มีคนมาเที่ยวปีละ10ล้านคน เรื่องความสะดวกสบายจึงแตกต่างกันมาก เอาหล่ะเมื่อได้เติมพลังด้วยอาหารเช้าฝีมือเจ้าของบ้านแล้วเราก็มุ่งหน้าไป รับเพื่อนสมาชิกท่านอื่นๆ เพื่อบุกตีเป้าหมายแรกคือโรงกลั่น Kilchoman จุดยุทธศาสตร์ทางทิศตะวันตกของเกาะขับรถไปประมาณ 45นาที


หาด Machair Bay แวะกระโดดเพื่อความสะใจ-แดดอย่างนี้แต่อากาศหนาวมากครับ

ภาพตำแหน่งของโรงกลั่นต่างๆ บนเกาะ Islay

เมื่อมาถึงผมก็ไม่รอช้าบุกทะลวงโดยเสียค่าใช้จ่าย 6ปอร์น เข้าไปถึงก็มีผู้เชี่ยวชาญสาวเป็นผู้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษไม่มีsub โดย Kilchoman เป็นโรงกลั่นน้องใหม่มีเหล้าที่บรรจุถังแรกคือเมื่อเดือนธันวาคม 2005 ตัวโรงกลั่นเองเป็นโรงกลั่นขนาดเล็กมีกำลังการผลิตติด Top 10 จากท้าย แต่ใช่ว่าน้องใหม่จะธรรมดาครับเพราะจุดเด่นของเค้าคือเค้าใช้ข้าว Barley ที่ปลูกเองมากกว่า 50% ในการผลิตมอลต์ ซึ่งโรงกลั่นส่วนใหญ่จะซื้อบาร์เล่ มาทำมอลต์ หรือบางที่ก็ซื้อมอลต์มาเลยก็มี แต่น่าเสียดายวันนี้ไม่ได้ดูการทำมอลต์เพราะว่าเค้ายังมีค้างสต๊อกอยู่ก็บุก ต่อไปที่ห้องทำWash (Wash คือน้ำที่ได้จากการเอามอลต์ไปโม่แล้วเอาปลายข้าวที่ได้ไปผสมกับน้ำร้อนเพื่อ ให้เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลก่อน และนำน้ำที่ได้ไปใส่ยีสต์หมักให้เกิดแอลกอฮอล์) ซึ่งผมได้มีโอกาสชิมรสชาตินั้นมันเกือบจะเหมือนเบียร์ไม่ซ่าเข้มข้นออก เปรี้ยวๆ กลิ่นออกบูดๆ แอบติดควันปลายนวม ไม่อร่อย 


ถ่ายกับป้ายซักนิด
มอลต์เป็นอย่างนี้นะเธอ
Peat วัตถุดิบสำคัญสำหรับรมควันมอลต์(ไว้จะเล่าให้ฟังต่อไปครับ)
Wash มันเป็นอย่างนี้
กิน Wash ซะเลย จอกร่วมสาบานแถม กินไม่หมดเทกลับลงไปอีก รับประกันได้ว่ารุ่นที่จะผลิตออกมาขายอีก 3ปีข้างหน้ามีขี้ฟันของผมแน่นอน

ต่อมาเป็นห้องกลั่นที่นี่มีหม้อกลั่นเพียง 2 หม้อครับแต่ก็ถือว่าเพียงพอซึ่งการกลั่นจะแบ่งออกเป็น 2 จังหว่ะคือ กลั่นWash จะได้เหล้าที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 20%แล้วจึงนำไปกลั่นต่ออีกหม้อให้ได้แอลกอฮอล์ประมาณ 60% เป็นอันใช้ได้ซึ่งบางโรงกลั่นอาจจะมีการกลั่นครั้งที่ 3ก็แล้วแต่สูตร ที่โรงกลั่นนี้ผมโชคดีได้ชิมทั้งตัว 20% และ 60% บอกตรงๆ จากใจเลยครับว่ามันมีกลิ่นควัน หญ้าแห้ง ใครว่าเหล้ากลั่นออกมาไร้รสไร้กลิ่นตอนนี้ผมกล้าเถียงแล้วครับ ต่อมาก็เป็นการบรรจุใส่ถังครับซึ่งถังส่วนใหญ่จะเป็นถัง ex-bourbon มาจากอเมริกาบ่มในถังอย่างน้อยอีก 3ปีแล้วจึงบรรจุขวดถึงจะสามารถเรียกวิสกี้ได้ตามกฎหมายของสก๊อตแลนด์ครับ ส่วนสุดท้ายอาจเรียกว่าเป็น Highlight ของการเที่ยวชมที่ทุกคนรอคอยคือชิมวิสกี้ โดยมีให้ลองด้วยกัน 2 รุ่นครับ ตัวแรกคือ 100% Islay ตัวนี้กลิ่นควันเด่นมากกลิ่นยาขมๆ ไม้ไหม้ออกจมูกรสเผ็ดบอร์ดี้จบไปแบบ Light หน่อยครับ อีกตัว Machair Bay ตัวนี้นุ่มนวลลงมาหน่อยมีกลิ่นวนิลามาจางๆ บอร์ดี้กลางๆ ดื่มง่ายกว่าตัวแรกเยอะครับถ้าให้ซื้อกลับผมจะเลือก Machair Bay ครับ หลังชิมวิสกี้เสร็จก็ทานอาหารกันที่โรงกลั่นก่อนลุยเป้าหมายต่อไป


หม้อกลั่นWash
หม้อกลั่นเหล้า
ลองชิมเหล้าต้มของนอกดู
SME ชัดๆ



มาชิมเหล้ากันเถอะ

จุดหมายต่อไปนั่งรถออกมาเกือบๆ 30นาทีเพื่อบุกเข้าลุยโรงกลั่น Bruichladdich (อ่านว่า บลุ๊ค-เคอะ-ดิช ผมอ่านผิดมาตั้งนานโดนฝรั่งสอนซะ) โรงกลั่นนี้ผมไม่ได้เข้าไปเที่ยวชมการผลิตครับ ได้แค่ชิมเหล้าเท่านั้น(น่าเสียดายจัง) โดยวิสกี้ที่ Bruichladdich ผลิตส่วนใหญ่จะไม่มีกลิ่นควันครับ แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะครับเพราะทุกวันนี้ทางโรงกลั่นเองได้ผลิตรุ่น Port Charlotte และ Octomore  ที่มีกลิ่นควันออกมาสู่ตลาดแล้วซึ่งชื่อทั้ง 2 ชื่อนี้เคยเป็นโรงกลั่นเหล้าครับแต่ปัจจุบันไม่ได้ผลิตวิสกี้แล้วโดย Port Charlotte เป็นแหล่งผลิตมอลต์เพื่อส่งมาผลิตวิสกี้ที่ Bruichladdich และทั้ง 2 รุ่นนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในตลาดทีเดียว โดยเฉพาะ Octomore ที่อัดกลิ่นควันมาแบบเหนือจินตนาการทลายทุกความเชื่อเดิมๆ ผมคิดว่าหากทางโรงกลั่นมีกำไรมากพอและตลาดวิสกี้ยังโตอย่างต่อเนื่องก็มี โอกาสที่จะฟื้นฟูโรงกลั่น Port Charlotte และ Octomore ให้กลับมากลั่นเหล้าอีกก็เป็นได้ครับ


มาถึงแล้วจ้า
ได้ข่าวว่าเพื่อนๆ หลายท่านอยากโดน Octomore ที่นี่มีเพียบ
นอกเหนือจากรุ่นควันแล้วยังมีรุ่นพิเศษ รุ่นLimited อื่นๆ อีกมากมายจนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวไหนที่ขายๆ อยู่คือรุ่นมาตราฐานของเค้า สำหรับวิสกี้ที่ให้ชิมนั้นมี 3ตัวและ Gin อีก 1ตัวครับ มีค่าใช้จ่าย 5ปอร์นครับ โดยตัวแรกที่ลองคือ Laddie 10ปีครับ ตัวนี้รสชาติอ่อน กลิ่นไปทางหญ้าแห้งๆ เปลือกมะนาว หอมสมุนไพร จบแบบเงียบๆ ครับต่อมาเป็น Port Charlotte The Peat Project ตัวนี้กลิ่นควันมาเยอะกำลังดี ผสมมากับกลิ่นเลมอน จบไปแบบกลางๆ ดื่มเพลินดีครับ ตัวสุดท้ายเป็น Highlight ของวันนี้ครับคือ Carnival of Malt 21ปี (กินได้ที่นี่เท่านั้นครับถ้าชิมแล้วชอบก็ซื้อกลับได้ Limited 700ขวดครับ) รสหวานนำมาเลย กลิ่นลูกพรุน ลูกเกต Rum ฉ่ำมากบอร์ดี้แน่นๆ สัมผัสนุ่มนวลแต่แอบเผ็ดนิดๆ แม้จะไม่ควันแต่สำหรับผมถือว่าผ่านครับเพราะเอกลักษณ์ชัดเจนมากครับ หลังจากชิมเหล้าและซื้อของเป็นที่พอใจแล้วก็ถึงเวลาเดินทางสู่โรงกลั่นต่อไป



รุ่นต่างๆ มากมาย



Port Charlotte The Peat Project ถ้าซื้อที่นี่ราคาดีจริงๆ น่าเอามาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้าน
Carnival of Malt 21ปี กินจากถังนี้แล
นั่งรถชมวิวเกือบๆ 1ชั่วโมงเราก็กลับมาถึง Bowmore แสดงว่าเย็นนี้แหละเราจะได้บุกเข้าตีโรงกลั่นประจำเมืองกัน ต้องขอบอกว่าสำหรับ Islay แล้ว Bowmore เป็นโรงกลั่นโปรดของผมเลยหล่ะครับเพราะเป็นโรงกลั่นของ Islay ที่เก่าแก่และ ที่สำคัญเหนือความเก่าคือรสชาติดีราคาไม่แพงจัดหาง่ายต้องยอมรับเลยครับว่า คนญี่ปุ่นนี่เก่งจริงๆ(ปัจจุบัน Bowmaore ถือหุ้นใหญ่โดย Suntory ครับแต่คนไทยก็ไม่น้อยหน้านะครับลองหาข้อมูลดูจะทราบว่าโรงกลั่นเหล้าใน สก๊อตแลนด์บางโรงมีเจ้าของเป็นบริษัทของคนไทยครับ)
พามาดูวัวซะงั้น Scotch Beast
ถึงแล้ว Bowmore ที่รัก

เข้าไปด้านในก็เป็นร้านขายของครับ มีทั้งเหล้า ของที่ระลึก มีแยมและขนมที่ทำจากเหล้าด้วยครับ ถ้ามีน้ำหนักโหลดกลับมาได้คงโหลดกันกระจายครับเพราะไอ้พวกนี้ทั้งกินที่ทั้ง หนักเลยต้องทำใจผ่านไป เดินชมร้านซักพักก็ได้เวลาเข้าไปเที่ยวด้านในกัน สำหรับค่าใช้จ่าย...ฟรีครับ พี่คนขับรถบอกว่าพอเที่ยวชมเสร็จก็มีชิมเหล้าฟรีอีก 1ตัวแล้วแต่ดวงว่าจะได้ชิมอะไรอะไรมันจะดีขนาดนี้ เค้าแนะนำว่าชิมแล้วอย่าขอเพิ่มนะครับเสียมารยาท




ของที่มีขายกันแบบพื้นๆ ในบ้านเขา(บ้านเราเรียกว่า rare items)


เอาหล่ะบุกเข้าพร้อมผู้บรรยายสาวห้องแรกที่ไปดูคือห้องทำมอลต์ครับ คือการทำมอลต์จะเริ่มจากการเลือกเมล็ดข้าวBarley ที่มีคุณภาพนำไปเก็บไว้ในที่ที่มีสภาพวะเหมาะสมแก่การเจริญเติบโต ทำให้ภายในเมล็ดเกิดกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลสร้างพลังงานดันให้ต้น อ่อนงอกออกมาพอได้มอลต์แล้วก็จะนำไปทำให้แห้งด้วยการรมควันครับ ซึ่งการรมควันผมคิดว่าเป็นการไล่ความชื้นไม่ใช่การทำให้มอลต์สุก มอลต์ที่ได้จึงมีความแห้งลองชิมดูเนื้อละเอียดรสชาติหวานแถมยังมีกลิ่นควัน อีก ต่อมาก็เดินไปดูเตาเผา Peat ซึ่งอยู่ด้านล่างครับเพื่อให้ควันขึ้นไปสู่ห้องทำมอลต์ด้านบนได้โดยตรง หลังจากนั้นก็ไปดูการทำ wash และการกลั่นซึ่งกระบวนการก็จะคล้ายกับ Kilchoman แต่จะสังเกตุได้ว่าที่นี่มีจำนวนของถัง wash และหม้อกลั่นมีมากกว่า ทำให้ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ wash ตั้งแต่เพิ่งเติมยีสใหม่ๆ-เริ่มมีฟอง(คือยีสจะกินน้ำตาลเกิดแอลกอฮอล์และ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่มาของฟองนั่นเอง)-จนสงบนิ่ง ส่วนมอลต์ที่เหลือจากการผลิตก็จะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์เพราะฉะนั้นมาที่นี่ก็ ต้องไม่พลาดเนื้อวัวกับเนื้อแกะครับ


มอลต์เมื่อรมควันมาแล้วบีบๆ ดูมันเป็นผงเลย มีรสหวานแถมกลิ่นควันด้วยน่าเอามากินกับนม
เตาเผา Peat ชั้นล่างสุดจ้า
wash ที่ยีสกำลังทำงาน ห้องนี้กลิ่นจะเป็นเอกลักษณ์มากๆ ไม่ชินอาจมีอาเจียนได้ครับ
wash ที่ยีสเริ่มอิ่มแล้ว

หม้อกลั่นขนาดใหญ่เรียงราย
เมื่อเดินดูจนทั่วแล้วก็ไปที่ห้องที่เก็บถังบ่มวิสกี้ที่นี่ใช้ถังหลาย ประเภทครับเด่นๆ ก็ ex-bourbon กับ ex-sherry ถังทั้งหมดจะไม่ได้เก็บอยู่ที่นี่จะถูกย้ายไปที่โรงเก็บที่อยู่ใกล้ๆ กัน เมื่อดูจนทั่วแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย(โดยเฉพาะพี่รถถังรัสเซียคือแกตัว ใหญ่มากนั่งรถล้นเบาะดื่มทั้งวันแบบ non-stop อาวุธประจำกายเหล้า 1แบน จอกเหล้า1เป็ค ถั่ว1ถุง แต่แกนิสัยดีชอบชวนผมดื่มเหมาะเป็นหน่วยทะลวงป้อม)  วันนี้ดวงพอมีเค้าจัดให้ชิม Bowmore 15ปี Darkest กลิ่นนำควันเลยครับ รสหวาน,เผ็ด กลิ่นดาร์คช็อกโกแลต กาแฟคั่ว จบแบบสั้นๆ บอร์ดี้บางๆ ก็จัดว่าดื่มง่ายอีกตัวแต่สำหรับผมว่าบอร์ดี้อ่อนไปนิด พูดกันตรงๆ เถอะตัวเดียวมันจะไปพออะไรบุกมาถึงถ้ำเสือแล้ว ผมก็เดินไปดูที่บาร์ก็มีอยู่หลายตัวครับราคาต่อแก้วก็ไม่แพงผมก็เลยสั่ง Small Batch Reserve ทางโรงกลั่นใจดีแถมให้ฟรีซะงั้น กลิ่นควันนำมาอ่อนกว่า Darkest รสเผ็ดผสมมากกับกลิ่นหอมๆ ของสมุนไพรแนวชะเอม อบเชยให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วงนาทีทองแถม Tempest batch 4 อีกตัวอันนี้มาหนักเลยครับกลิ่นควันมากลางๆ แต่ยังเป็นแนวคลายตัว Small Batch เผ็ดร้อนแสบลิ้นลากยาวไม่มีวันลืมใครสายแข็งก็จัดไปครับ (ต้องขอบอกว่าไม่ค่อยละเอียดนะครับเพราะชั่วโมงนี้ลิ้นด้านหน้าตึงแล้วครับ) ผมแวะถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก่อนหาอาหารเย็นทานแล้วเข้าที่พักรีบนอนสู้ศึกวัน ถัดไปครับ

เอ๊ะ ทำไมมี 2ตัวนี้มาวางอยู่ในห้องบ่ม...จะสื่ออะไรหนอ
ถังบ่มที่มีอายุมากที่สุดในห้องบ่มนี้ แต่เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่ามีที่เก่ากว่านี้อีกแต่อยู่อีกที่นึง
Bowmore 15ปี Darkest

Small Batch Reserve
Tempest batch 4 อารมณ์นี้อยากให้เพื่อนๆ มาด้วยกันจริงๆ ครับ รับรองว่าคุยกันสนุกเลยครับ



หลังจากกินฟรีแล้วก็มาทำงานใช้หนี้
หลังอาหารจัด Octomore 3_152 ควันทะลักไม้ไหม้ ยางไหม้ ทินเนอร์ หนัง น้ำยาล้างเล็บ เต็มๆ จบไป Dry บอกได้คำเดียวถ้าเคยลองแล้วแนวสะสมน่าซื้อเก็บ แนวศึกษาไม่อร่อยอย่างที่คิด
 ติดตามตอนจบ เร็วๆ นี้ครับ หรือติดตามได้ที่ http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=2174.0 และ https://www.facebook.com/yenyumramsura

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น