พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Balvenie DoubleWood 12 Yo


ส่งท้ายเดือนนี้กับ The Balvenie DoubleWood 12 Yo ครับ
หลังจากอิดออดกับเจ้านี่มาค่อนข้างนานแล้วนะครับ
วันนี้ขอเริ่มจากกลิ่นต่างจากทุกครั้งที่เริ่มจากสีนะครับ
เนื่องจากว่ารินเตรียมไว้แล้วไปนั่งทำงานต่อ 
แต่ก็ทิ้งไว้ได้พักเดียวก็ต้องวางมือจากงานครับ
เพราะกลิ่นที่ค่อยๆ ฟุ้งขึ้นมาจนอดที่จะต้องวางมือจากงาน
มาละเลียดกลิ่นวนิลาหอมๆ เจือด้วยกลิ่นของ Oak มอลต์ น้ำผึ้ง 
และผลไม้ที่ผสานกันได้อย่างลงตัวเชียวครับ

ด้านสีนั้นออกทองเจือด้วยสีแดงนิดๆ ด้วยสีของถัง Sherry Oak ในการบ่มรอบสอง
ทำให้มองได้เพลินตาเชียวครับ
ขานั้นจัดว่าขนาดเล็กถึงกลางๆ ครับ ไม่ใหญ่แต่หนักไหลช้า ถือว่าบ่มกำลังได้ที่เชียวครับ

รสชาติค่อนข้างซับซ้อน แต่ผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่มีอาการ Burn ที่ลิ้น
เหมือนเหล้าที่ผ่านการบ่มถัง Sherry Oak ตัวอื่น ที่เคยลองผ่านมา
คงเพราะตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของพวกเครื่องเทศเหมือนพวก Macallan 
กับการที่บ่มถัง Sherry Oak เพียงแค่เอาสี และ Finished เพิ่มด้วยน้ำผึ้งกับผลไม้ครับ 
มีความหวานติดปลายลิ้นค่อนข้างนาน 
แบบนี่แหละแนวที่ผมนิยมเชียวครับ จิบได้เรื่อยๆ เชียวแบบนี้น่ะ ดื่มชากันดีก่า

ด้าน After นั้นจัดว่าไม่สั้นและไม่ยาวครับ 
แต่ชวนให้ถวิลหาได้เรื่อยๆ มาเรียงๆ กับความหอมและความหวานที่ทิ้งค้างไว้ในช่องปากและลำคอ
เหมาะสำหรับยามว่างนั่งผ่อนคลายฟังเพลงสบายๆ หลังเลิกงาน หรือในวันพักผ่อนได้เป็นอย่างดีเชียวครับ


ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ผิดพลาดประการใดก็ของอภัยและน้อมรับเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Suntory Hibiki 17 Yo

 สำหรับ Blended Whisky ขวดนี้จัดเป็นวิสกี้ที่ขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่นครับ Hibiki เป็นเหล้าที่ได้รางวัลระดับโลกมาหลายครั้งแล้วครับ ว่าแล้วก็มาลองของกันเลยดีกว่าครับ อย่าเสียเวลาเลยครับ

เริ่มกันด้วยสีที่ออกทองอำพันอย่างสวยงามครับ 

ด้านกลิ่นนั้นออกแนวอโรมาชวนผ่อนคลาย ผสานด้วยกลิ่นเบาๆ ของโอ๊ก วนิลา ช็อกโกแลต(อันนี้ไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับ) และดอกไม้ กลิ่นของแอลกอฮอล์บางๆ เล็กน้อย ไม่ถึงกับฉุน ออกแนวคล้ายอเมริกันวิสกี้ ผมว่าคล้าย Gentleman Jack ครับ

ด้านรสชาติบ้างครับ จิบแรกที่ได้สัมผัสนั้นนุ่มละมุ่นละมัย แนวหวาน ซ่อนความร้อนแรงเมื่อได้กลืนผ่านลำคอ
ทิ้งกลิ่นควัน กลิ่นโอ๊ก ความหวานที่ปลายลิ้นของทอฟฟี่ ผสานด้วยความร้อนแรงของเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน คลุกเคล้ากันได้อย่างลงตัวดีครับ


After Taste นั้นด้วยความลงตัวที่คลุกเคล้าระหว่างความหวานละมุ่นกับเผ็ดร้อน แม้ไม่ยาวนานเท่า Quinta Ruban แต่ก็ชวนให้อยากสัมผัสความหอมนุ่มละมุ่นเรื่อยๆ ได้อย่างไม่รู้เบื่อ มากกว่า Lasanta ครับ เหมาะสำหรับนั่งชิวๆ ฟังเพลงแกล้มเหล้าเป็นอย่างยิ่งครับ

Dimple 12 Yo

สำหรับเจ้า Dimple 12 Yo ตัวนี้เคยได้ลองครั้งแรกเมื่อร่วมยี่สิบที่แล้ว
จำได้ว่าเป็นเหล้าที่รสชาติแปลก+นิ่มๆ ดีครับ โดยเฉพาะขวดที่สวยแปลกตาดีครับ รูปทรงสามเหลี่ยม ป้อมๆ แถมมีส่วนโค้งส่วนเว้าอีกต่างหาก
ครั้งนี้กลับมาลองก็เหมือนทักทายเพื่อนเก่าอีกสักครั้งนะครับ
เปิดขวดดมกลิ่น หลังจากเคยชินกับกลิ่นนุ่มๆ ของ Single malt มาพอประมาณ กลับมาหา Blended Whiskey อีกครัั้ง รู้สึกได้ว่ากลิ่นของ แอลกอฮอล์มันแรงกว่า sigle malt เยอะเลยครับ เมื่อลองดมอย่างจริงจังพบว่ากลิ่นของ Oak นั้นค่อนข้างเบาบางกว่า มีกลิ่นของผลไม้คล้ายกับ JW Black แต่โดยรวมนั้นกลิ่นดีกว่านิดหน่อยครับ แต่ผมว่าเทียบกับ Dewar's 12 Years แล้วผมเทใจให้ Dewar's 12 Years มากกว่าครับ


รสชาติเมื่อลิ้มลองด้วยปากบ้านๆ ของผมในแบบ neat แล้วผมว่าติดขม+เผ็ดร้อนของเครื่องเทศครับ แต่เมื่อเติมน้ำ/น้ำแร่ลงไปนิดหน่อยช่วยให้ดีขึ้นเยอะครับ ทิ้งไว้สักพักกลิ่นนุ่มนวลเนียนขึ้นครับ รสชาติโดยรวมแล้วดีขึ้นครับ ความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศยังคงมีอยู่แต่ความขมลดลง

สำหรับ After taste นั้นจัดได้ว่าค่อนข้างใช้ได้ครับ กับรสหวานของคาราเมลที่ค้างอยู่ในปากแบบพอประมาณครับเมื่อเติมน้ำ/น้ำแร่ลงไปเล็กน้อยครับ
สำหรับเพื่อนที่ต้องการความร้อนแรง แล้วแนะนำตัวนี้ไม่มีผิดหวังครับ หากต้องการหลีกหนีความจำเจจาก JW Black และชีวาสครับ
แต่สำหรับเพื่อนที่ต้องการความนุ่มนวลและหวานละมุ่นในราคาใกล้เคียงกันแนะนำ Dewar's 12 years ครับ

คงไม่ครบถ้วนถ้าไม่ได้ลองแบบ on the rock ครับ
พบว่ารสชาติโดยรวมแล้วดีขึ้นมากมายครับ   กลิ่นก็จัดว่าดีขึ้นครับ
แต่ยังคงมีความขมหลงเหลืออยู่เล็กน้อยครับ ความหวานของคาราเมลเด่นชัดขึ้นครับ
โดยรวมแล้ว On The Rock น่าจะลงตัวที่สุดครับสำหรับเจ้าตัวนี้ครับ  
 
สรุปแล้วเจ้าตัวนี้เหมาะสำหรับการสังสรรกับเพื่อนฝูงในยามที่ต้องการความสนุกสนานครับ ไม่เหมาะสำหรับนั่งจิบแบบชิวๆ หลังอาหาร แต่พอไหวอยู่เหมือนกันหากเป็น on the rock หรือผสมน้ำเล็กน้อยครับ เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า JW Black หรือชีวาสครับ หากต้องการ have fun all night ครับ
แต่หากต้องการแบบชิวๆ all night ในงบที่พอๆกันผมว่า Dewar's 12 years เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าครับ

ปล. ความเห็นทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ในลิ้นบ้านๆ ของผมครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าครับ เพราะลางเนื้อชอบลางยาครับ 

Maker's Mark

วันนี้กับเจ้านี่ครับ Maker's Mark Bourbon Whisky ที่ร้อนแรงสไตล์อเมริกัน
ซื้อมาลองด้วยความยากว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับ JB Black Label
กับขวดที่เป็นเอกลักษณ์ seal ขวดด้วยยางเรซิ่นสีแดง ทำให้แตกต่างกันไปในแต่ละขวด
สำหรับเจ้า Maker's Mark ตัวนี้จัดเป็น Kentucky Straight Bourbon Whiskey อีกตัวเหมือนกับ Jim Beam ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้าครับ แต่ว่าตัวนี้ทำจุดเด่นว่าเป็น Whiskey Handmade ครับ จากเวปไซด์บอกว่าจะมีขายจำนวนจำกัดในแต่ละปีครับ
ถ้าปีไหนผลผลิตที่นำมาเป็นวัตถุดิบไม่มีก็จะไม่มีการผลิตด้วยครับ อันนี้ไม่ confirm นะครับ 

ด้วยกลิ่นอันเร่าร้อนตามสไตล์อเมริกันวิสกี้ ที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะกลิ่น OAK นั้นค่อนข้างเด่นชัดมากๆ ยิ่งเป็นทิ้งไว้สักพัก กลิ่นยิ่งทำให้เกิดความอยากสัมผัสมากขึ้น
รสชาตินั้นบาดลึกจนต้องเจือด้วยน้ำเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัมผัสของ Jim Beam Black
จัดว่าค่อนข้างจัดจ้านทั้งกลิ่นและรสชาติจริงๆ ครับ สำหรับ Maker's Mark ขวดนี้
เหมาะสำหรับคนที่อยากสัมผัสความเป็นอเมริกันคาวบอยครับ

Ballantine’s 12 year olds 43%


Ballantine’s น่าจะเป็นแบร์นที่เราคุ้นเคยกันดีเพราะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรามาได้ระยะหนึ่งและมีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ซึ่งน่าจะมาจากการทำการตลาดขอผู้ที่เคยเป็นเจ้าของอย่าง Diageo เจ้าของแบร์นสุดคุ้นหูอย่าง Johnnie Walker จนมาถึงปัจจุบัน Chivas Brothers เจ้าของแบร์น Chivas และ 100 pipers ที่เรารู้จักกันดี โดย Ballantine’s ได้รับความนิยมในประเทศแถวทวีปเอเซียเช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยจุดเด่นของ Whisky แบร์นนี้คือใช้ Single Malt จากโรงกลั่นฝั่ง Speyside ได้แก่ Glenburgie และ Miltonduff ดังนั้นรสชาติที่พอจะคาดเดาได้คือเป็น Whisky ที่สดชื่นตามสไตร์ Speyside มาว่ากันที่ Ballantine’s 12 year olds ขวดนี้ดีกว่าจากรูปทรงจะยังเป็นขวดรุ่นเก่า และยังมีดีกรี 43% อีกจึงยิ่งเก่าเข้าไปอีก แต่คิดว่ารสชาติน่าจะไม่ต่างจากตัวในปัจจุบันซักเท่าไหร่
Appearance: สีเหลืองไปถึงส้ม ขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นหวานหอมของน้ำผึ้งและสดชื่นของหญ้าอ่อนๆ
Taste: รสหวานนุ่มน้ำผึ้งผสมวนิลามีกลิ่นไม้โอ๊คเล็กน้อย
With Water: หวานนิดหน่อยมีความมันเล็กน้อย
Finish: หวานแห้งๆ (ไม่รู้จะอธิบายยังไงต้องลองครับ)
สรุป: โดยส่วนตัวถือว่าเป็น Whisky ที่มีรสชาติดีครับแต่อ่อนไปหน่อยเมื่อนำมาผสม mixer ถ้าคนที่ชอบความเข้มอย่าง Johnnie Walker Black ก็ลืมไปได้เลยครับ และผมคิดว่าไม่ค่อยคุ้มราคาซักเท่าไหร่เพราะถ้าได้เคยลองตัวธรรมดาแล้วได้เทียบกับตัว 12 ปีจะรู้สึกไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ครับ

Whyte&Mackay Special 40%


Whyte&Mackay เป็นแบร์น Blend Whisky ที่ได้รับความนิยมใน UK Spain France Scandinavia โดย Single Malt Whisky ที่นำมา Blend นั้นก็จะมาจากโรงกลั่นดังๆ อย่าง Dalmore(ซึ่งถือเป็นโรงกลั่น Single Malt Whisky ระดับ Premium) และ Isla of Jura(พอจะหาลิ้มลองได้ในบ้านเราครับ) โดย Whyte&Mackay Special นี้น่าจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ระยะหนึ่งแล้วโดยการคาดเดาของผมน่าจะเกินกว่า10ปีแล้วครับ แต่เท่าที่ทราบตอนนี้น่าจะหายากพอสมควรเพราะตลาดบ้านเราไม่ค่อยตอบรับซักเท่าไหร่ ที่หลงเหลืออยู่ตามแผนกสุราน่าจะเป็น stock สุดท้ายแล้ว ซึ่งในอนาคตวันหน้าอาจจะไม่มีให้เห็นกัน หากใครมีโอกาสได้พบเจอก็อยากให้เก็บมาลิ้มลองกันเพราะราคาถูกกว่าwhiskyในระดับเดียวกันอยู่พอสมควรครับ
Appearance: สีทองแดง และมีขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นผลไม้คล้าย apple นำเด่น ออกเค็มๆ ไร้กลิ่นควัน
Taste: รสหวานนุ่ม มีกลิ่นผลไม้ น้ำผึ้ง และความสดชื่น
With Water: รสหวานหอมมาแบบตรงๆ
Finish: ทิ้งรสหวานที่ไม่ซับซ้อนไว้ในระดับกลางๆ
สรุป: Whyte&Mackay Special คุ้มค่าคุ้มราคาเป็น Whisky ที่สามารถเอาไว้ดื่มเปรียบเทียบหาความแตกต่างกับ Whisky แนวอื่นๆ ได้ดี และยังสามารถผสมmixer ได้หลากหลายให้รสสัมผัสของผลไม้และความหวานที่ลงตัว

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Glendullan 12 year old 43%



Glendullan เป็นโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ที่ Dufftown จึงเป็น Single Malt จากฝั่ง Speyside โดย Single Malt Whisky ส่วนใหญ่ที่ผลิตได้จากโรงกลั่นนี้จะนำไปเป็นส่วนผสมสำหรับ Blend Whisky ยี่ห้อดังอย่าง Old Parr และ Johnnie Walker เป็นต้น ดังนั้น Single Malt Whisky ของทางโรงกลั่นนี้จึงมีผลิตภัณฑ์ไม่มาก ซึ่งเท่าที่คิดว่าพอจะเห็นเป็นรูปร่างก็คงเป็น The Singleton Single Malt Scotch Whisky of Glendullan (แต่ก็ยังไม่เคยเห็นที่เมืองไทยเหมือนกัน) มาว่ากันเรื่องของเจ้า Glendullan 12 year old ดีกว่าความจริงแล้วเจ้าขวดนี้ผมได้มาแบบทั้งโชคและความบังเอิญ และโดยการคาดเดาของผมเองคิดว่า Glendullan 12 year old น่าจะมีการวางจำหน่ายเฉพาะในยุโรป

Appearance: สีทองอ่อนใสๆ และมีขาเล็กยาวระดับกลาง
Aroma: กลิ่นอ่อนๆ ลักษณะหอมสดชื่นของผลไม้และดอกไม้
Taste: รสหวานอ่อนๆ มีกลิ่นสดชื่นของผลไม้และดอกไม้ แต่แอบซ่อนกลิ่นควันเอาไว้ แต่น้อยกว่า Highland Park 12 year old มากนัก
With Water: รสหวานเด่นขึ้น รสสัมผัสหอมมัน และกลิ่นควันอ่อนๆ เริ่มชัดขึ้น
Finish: ทิ้งกลิ่นหอมของผลไม้ไว้ในระดับกลางๆ และความรู้สึกร้อนไว้

สรุป: เป็น Whisky ที่บอกความเป็น Speyside ได้ดีแต่แอบแฝงด้วยกลิ่นควัน ซึ่งด้วยกลิ่นและรสที่อ่อนจึงน่าจะเป็น Whisky ที่เหมาะกับการดื่มหลังอาหารเพื่อล้างคอและเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Glen Elgin 12 Years

Glen Elgin 12 Years ขวดนี้จัดเป็น Speyside Highland Whisky ครับ 
ข้อมูลเบื้องต้นนั้นหาไม่ได้ครับ ว่าผ่านการบ่มในถังไม้ชนิดได้บ้างครับ

เริ่มที่สีก่อนเช่นเคยครับ สีเมื่ออยู่ในขวดนั้นมองแล้วออกคล้ายสีของทองแดงครับ
แต่เมื่อรินออกมาแล้วออกสีทองใสๆ อยู่เหมือนกันครับ
เมื่อลองแกว่งเพื่อดูขาพบว่าขาค่อยข้างใหญ่และหนักไหลเอื่อยๆ เพราะผ่านการบ่มนานถึง 12 ปี ใช้ได้อยู่เหมือนกันครับ 


ว่าในเรื่องของกลิ่นบ้างครับ วูบแรกที่สูดปื้ดเข้าไปชวนให้นึกถึงเจ้าตัว Laphoraig อยู่ทีเดียวครับ
กลิ่นของ oak ค่อนข้างดีครับ เจือด้วยกลิ่นของผลไม้จำพวกพีช และกลิ่นสะอาดๆ คล้ายกลิ่นน้องสาหร่ายด้วยครับ
แถมพ่วงด้วยกลิ่นควันไฟอ่อนของถ่านที่นำมากรอง (ครั้งแรกที่ลอง SM แล้วได้กลิ่นนี้ชัดเมื่อเทียบกับ American Whiskey)
แต่ทุกกลิ่นก็ผสานกันได้อย่างลงตัวเป็นเอกลักษณ์ดีครับ สำหรับจมูกบ้านๆ ของผมครับ



ว่ากันที่รสชาติกับลิ้นบ้านๆ ของผมกันบ้างครับ เผ็ดร้อนนิดๆ แต่ไม่บาดคอมากมายจัดว่าลื่นคอดีอยู่ครับ
กลิ่นเมื่ออยู่ในปากแล้วยิ่งชวนให้นึกถึงน้องสาหร่าย Laphoraig เป็นอย่างยิ่งครับ มันคล้ายแต่ก็แตกต่างอย่างบอกไม่ถูกครับ
แต่ในเรื่องของความลื่น ความหวานติดปลายลิ้น และกลิ่นของควันที่ทิ้งเอาไว้เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้สู้ Laphoraig ไม่ได้แน่ๆ ครับ



After Taste นั้นสำหรับผมจัดว่ากลางๆ ไม่เด่น  ถ้าถามว่าน่าประทับใจหรือปล่าวนี่บอกไม่ถูกอยู่เหมือนกันครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ อย่างผม
เจ้าตัว Glen Elgin 12 Years นี่ทิ้งกลิ่นควันจางๆ ไว้ในปาก ไม่ค่อยมีกลิ่นของ oak กับความหวานติดปลายลิ้นเท่าไหร่ครับ
จัดได้ว่าดีกว่า Blend Whisky แต่ยังไม่น่าประทับใจในขั้นของ SM ครับ
ในงบใกล้เคียงกันนี่ผมว่าหนีไปเล่น The Macallan Fine Oak 10 Years หรือ Glenmorangie ดีกว่าครับ





สรุป สำหรับผมแล้ว เจ้า Glen Elgin 12 Years ขวดนี้เหมาะสำหรับไว้เปลี่ยนบรรยากาศ
สำหรับคนที่อยากหาความแตกต่าง และอยากลองอะไรใหม่ๆ มากกว่าที่จะใช้นั่งชิวๆ คุยกับเพื่อนครับ  
ยังไงเดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ผมจะลองแบบ on the rock อีกสักรอบครับ เพราะแบบ neat นี่ไม่เหมาะกับเจ้านี่จริงๆ ครับ



ขอมาลองอีกรอบด้วยความคาใจครับ รอบแรกขอเป็นเหล้า 3 น้ำเย็นๆ 1

เริ่มที่กลิ่น เหมือนมาถูกทางแล้วครับรอบนี้ กลิ่นของผลไม้จำพวกพีช เด่นชัดขึ้นครับชวนให้นึกถึงตระกูล JW ครับ
ยิ่งทิ้งไว้สักพัก กลิ่นของโอ๊กเริ่มมาแล้วครับรอบนี้  โป้ง
รสชาติ อืม... โอ้ว... อุมามิขึ้นครับรอบนี้ นุ่มนวลได้ที่ขึ้นมาเชียวครับ กลิ่นน้องสาหร่ายแบบ Laphoraig หายไปเชียวครับ
ความเผ็ดร้อนลดลงเยอะเชียวครับ ทิ้งกลิ่นหอมควันบางๆ เอาไว้ พร้อมความหวานละมุ่นติดปลายลิ้นมากขึ้นกว่าเดิม



After Taste นั้นจัดได้ว่าชัดเจนและดีขึ้นมากเชียวครับ สำหรับลิ้นบ้านๆ ของผม ชวนให้อยากละเลียดมากขึ้นครับ
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้ถ้าเติมน้ำเย็นลงไปแหล่มขึ้นมาเชียวครับ ไม่เหมาะสำหรับ Neat เลยครับสำหรับผม
เดี๋ยวไปต่อกันที่ On The Rock ครับ




รอบนี้ขอมาลองกันแบบ on the rock ครับ
เริ่มที่กลิ่น 
แหม... มันยิ่งชวนให้นึกถึง JW จำพวก Green หรือ Gold หนักขึ้นไปอีกครับ
แต่....


รสชาติ โอ้ว... พระเจ้าช่วย กล้วยทอด ไหง มันออกแนว หวานขมหว่า.... เอื้อก.... ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลยครับ กับ on the rock  

After Taste กล้วยทอดแว้ว.... ไม่มีเอาเสียเลยครับ สำหรับผมง่ะ  แข็ง

หนำซ้ำ โอ้ว... จิ๊ดเลยครับ มาเร็วเลยครับ... มึนแว้วววว..... คร๊าบพี่น้องงงงงง  ตรูมาว.....ว

บ่าย บ้าย บาย ครับ... สำหรับ  Glen Elgin On The Rock
สำหรับ Glen Elgin ขวดนี้สำหรับผมแล้วคงต้องผสมน้ำเย็น แบบ เหล้า 3 น้ำเย็น 1 ลงตัวสุดๆ ครับ โป้ง
แต่แบบ on the rock แล้วคงต้องลาขาดครับขึ้นเรย... คร๊าบ.... ตรูมาว.....ว
กับความแรงที่ 43 ดีกรี... ตรูมาว.....ว