ห่างหายจากการรีวิวไปนานเลยครับ เนื่องจากติดภาระอิดอะไรก็ไม่รู้มากมาย อีกทั้งเหล้าเก่าๆ ที่เปิดค้างๆ เอาไว้ก็โขอยู่ เก็บกวาดไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่พอจะมีครับ
วันนี้ขอนำเสนอ Early Times Kentucky Straight Bourbon Whisky ครับ
สำหรับเหล้าขวดนี้พอดีมีรุ่นน้องที่ชอบพอกันเขาซื้อมาฝากครับ ว่าแล้วไม่ให้เสียเวลาเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มกันที่สี ออกทองอำพันดูแล้วสบายตาดีครับ ขาเล็กๆ ไหลเร็วไม่มีอาการทิ้งตัวช้าๆ เลย คงเป็นเหล้าที่มีอายุไม่มากนักเท่าไรครับ
กลิ่น เป็นกลิ่นที่ต้องบอกว่าไม่ใช่กลิ่น Bourbon ที่คุ้นเคยเหมือนกับ JD และ JB ครับ
ปกติแล้วเหล้าอเมริกันที่ผมเคยลองมามักมีกลิ่นเฉพาะตัวที่เป็น New Oak เด่นๆ ข้าวโพด
แต่สำหรับเจ้า Early Times ขวดนี้กลับเป็นกลิ่นเหมือน Old Oak เนื้อเหล้าละม้ายไปทาง Scotch แนว Grain Whisky ซ่ะมากกว่า
กลิ่นตัวน้องแอลไม่แรงมากครับ แต่ก็พอได้กลิ่นสะอาดๆ ปนฉุนนิดๆ คล้าย Alc ฆ่าเชื้อล้างแผลครับ
ดมมากเข้าชักจะคิดว่ากลิ่นมันละม้าย Snow Grouse อยู่พอควรครับ
ถ้าให้เดาเข้าใจว่า ส่วนผสมของตัวนี้คงมีข้าวโพดไม่เยอะ หนักไปทาง Grain ค่อนข้างเยอะมากกว่าครับ
แต่ก็แปลกที่ทิ้งไว้สักพักกลิ่น Oak ข้าวโพดค่อยๆ ชัดขึ้นแต่ก็ยังไม่เท่า JB & JD ครับ
รสชาติ ออกไปทางจืดครับ ไม่เหมือนหนุ่มอเมริกันทั้งหลายที่เคยลองมาเลยครับ
จืดมาก จืดจริงๆ ครับ ไม่มีอะไรให้จับได้สักอย่างเลยครับ ไม่มีอาการ Burn
รสชาติเหมือนเหล้าที่ผสมน้ำเยอะไปสักหน่อยครับ คงไปเทียบเคียงกับ JB & JD ไม่ได้เลยครับ
After Taste หอมสั้นๆ จบแบบดื้อๆ ไม่เหลืออะไรให้จำเลยครับ
สรุปแล้วสำหรับเจ้า Early Times ขวดนี้เหมาะสำหรับนั่งดื่มแบบไม่ต้องคิดมากครับ จิบแบบสบายๆ
ใครไม่ชอบแนวเหล้าจืดหนีห่างได้เลย ส่วนใครที่ขี้เกียจผสมเหล้า อยากนั่งดื่มสบายๆ เชิญได้เลยครับตามสะดวก
สำหรับผมแล้วขวดนี้ไม่ผ่านครับ
พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ
ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ
วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
NEWS UPDATE!! ข่าวดีคอวิสกี้ไทยจงอ่าน
NEWS UPDATE!! ข่าวดีคอวิสกี้ไทยจงอ่าน
เรื่องน่าดีใจมาให้คลายอุณหภูมิทางการเมือง
ว่าจะเล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อวานหล่ะแต่ติดลำยองตอนจบ
เมื่อวานผมได้ ไปสำรวจตลาดพบว่ามีวิสกี้แปลกตามาโผล่อยู่บนชั้นขายสุรา บางท่านอาจจะรู้จักวิสกี้เหล่านี้ดี บางท่านอาจจะไม่รู้จัก ส่วนตัวผมเองพูดเลยเป็นอะไรที่ถวินหามาก วิสกี้ใหม่ที่เข้ามาจำหน่ายในบ้านเราให้คนไทยมีสิทธิ์ได้ลิ้มลองโดยไม่ต้อง บินไปหาไกลถึงเมืองนอก มี ทั้งหมด 3 ตัวครับ
1. Ardbed รุ่น 10 ปี Single Malt Whisky จากสก๊อตแลนด์ครับ ตัวนี้เป็น 1 ในยี่ห้อโปรดของผมเลยก็ว่าได้เพราะเป็นสายควันและประมาณความควันก็ไม่ใช่ น้อยๆ เกิน 50 ppm กันเลยที่เดียว กลิ่นหอมประมาณปลาแซลมอลรมควันน่ารับประทานยิ่่งนักใคร SM สายแข็งคงสบายหล่ะทีนี้ ราคาค่าตัวพอรับได้ที่ประมาณ 2,2xxบาท
2.Monkey Shoulder เป็น Blend Malt Whisky จากสก๊อตแลนด์ ตัวนี้พวกเราก็รู้ๆ กันอยู่ความพิเศษของเค้าคือเป็นวิสกี้ที่ผสมจาก 3 โรงกลั่น Glenfiddich, Balvenie และ Kininvie กลิ่นสไสตย์หอมหวานน้ำผึ้ง ผลไม้สุก ราคาค่าตัวน่าคบมาก 1,4xxบาท แบบว่าถูกกว่าเมืองนอกบางประเทศด้วยซ้ำ
3.Tullamore D.E.W. เป็น Blend Whiskey จากไอร์แลนด์ตัวนี้คอไอร์ริสวิสกี้น่าจะรอกันมานานเพราะตลาดบ้านเราปล่อย Jameson ทำตลาดอยู่คนเดียวแถมรุ่นเดียวอีกต่างหากคราวนี้จะได้มีตัวเลือกอื่นบ้างซะ ทีความแจ่มของเค้าคือกลั่นถึง 3 ครั้งเรื่องรสชาติไม่ขอบรรยายเพราะผมเคยโดนไปครั้งเดียวแถมตอนเมาจึงจำไม่ ได้แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แนวควันตามสไตย์ผมแน่นอน ราคาค่าตัวน่ารัก 8xx บาท
เมื่อวานผมได้ ไปสำรวจตลาดพบว่ามีวิสกี้แปลกตามาโผล่อยู่บนชั้นขายสุรา บางท่านอาจจะรู้จักวิสกี้เหล่านี้ดี บางท่านอาจจะไม่รู้จัก ส่วนตัวผมเองพูดเลยเป็นอะไรที่ถวินหามาก วิสกี้ใหม่ที่เข้ามาจำหน่ายในบ้านเราให้คนไทยมีสิทธิ์ได้ลิ้มลองโดยไม่ต้อง บินไปหาไกลถึงเมืองนอก มี ทั้งหมด 3 ตัวครับ
1. Ardbed รุ่น 10 ปี Single Malt Whisky จากสก๊อตแลนด์ครับ ตัวนี้เป็น 1 ในยี่ห้อโปรดของผมเลยก็ว่าได้เพราะเป็นสายควันและประมาณความควันก็ไม่ใช่ น้อยๆ เกิน 50 ppm กันเลยที่เดียว กลิ่นหอมประมาณปลาแซลมอลรมควันน่ารับประทานยิ่่งนักใคร SM สายแข็งคงสบายหล่ะทีนี้ ราคาค่าตัวพอรับได้ที่ประมาณ 2,2xxบาท
2.Monkey Shoulder เป็น Blend Malt Whisky จากสก๊อตแลนด์ ตัวนี้พวกเราก็รู้ๆ กันอยู่ความพิเศษของเค้าคือเป็นวิสกี้ที่ผสมจาก 3 โรงกลั่น Glenfiddich, Balvenie และ Kininvie กลิ่นสไสตย์หอมหวานน้ำผึ้ง ผลไม้สุก ราคาค่าตัวน่าคบมาก 1,4xxบาท แบบว่าถูกกว่าเมืองนอกบางประเทศด้วยซ้ำ
3.Tullamore D.E.W. เป็น Blend Whiskey จากไอร์แลนด์ตัวนี้คอไอร์ริสวิสกี้น่าจะรอกันมานานเพราะตลาดบ้านเราปล่อย Jameson ทำตลาดอยู่คนเดียวแถมรุ่นเดียวอีกต่างหากคราวนี้จะได้มีตัวเลือกอื่นบ้างซะ ทีความแจ่มของเค้าคือกลั่นถึง 3 ครั้งเรื่องรสชาติไม่ขอบรรยายเพราะผมเคยโดนไปครั้งเดียวแถมตอนเมาจึงจำไม่ ได้แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แนวควันตามสไตย์ผมแน่นอน ราคาค่าตัวน่ารัก 8xx บาท
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
Bowmore 12 years old ENIGMA 40%
สวัสดีครับเพื่อนๆ ผู้เสพสุราทุกท่านหลังจากเมื่อเดือนที่แล้วผมได้พาเพื่อนๆ
ไปเที่ยวโรงกลั่น Yoichi ที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว เดือนนี้ผมขอนำท่านกลับเข้าสู่สก๊อตแลนด์อีกเช่นเคยครับ
วิสกี้ที่ผมนำมารีวิวในวันนี้ก็คงไม่พ้นวิสกี้จากเขต Islay เกาะที่เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้รักวิสกี้สายควันทุกท่านครับ
วิสกี้ขวดนี้มาจากโรงกลั่นนามว่า Bowmore
ซึ่งเป็นโรงกลั่นโปรดที่ผมแอบชอบเป็นการส่วนตัวเพราะเค้าทำวิสกี้ออกมา
จำหน่ายในราคาที่ถือว่าไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ แถมยังพอหาซื้อได้ในบ้านเราหรือตามดิวตี้ฟรีครับ
สำหรับขวดนี้เป็นรุ่น 12ปี ENIGMA จำหน่ายตามดิวตี้ฟรีทั่วไป
โดยขวดนี้ต้องบอกเลยครับเป็นวิสกี้ Single Malt สายควันขวดแรกที่ผมได้ลองเมื่อประมาณ
5ปีที่แล้ว จำได้ในตอนนั้นยังดื่มไม่เป็นผสมทั้งน้ำ ทั้งโซดา
โคตรจะไม่อร่อย ตั้งดองอยู่บนตู้เป็นเดือนกว่าจะหมดเพราะรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น มาบัดนี้ฝึกวิชาจนคุ้นกับสายควันแล้วจึงขอเปิดขวดใหม่จับมารีวิวซักที
Aroma: กลิ่นควันแนวขี้เถ้าวิ่งนำหน้า ตามประกบมาด้วยกลิ่นหวานๆ ของน้ำผึ้ง และเชอรี่อ่อนๆ
Taste: รสหวานอ่อนๆ ติดเผ็ดเล็กน้อย บอร์ดี้กลางๆ ติดข่มบนโคนลิ้น กลิ่นควันชัดเจน มีกลิ่นเชอรี่และกลิ่นเกลือทะเลปนตามมา
With Water: รสเค็มชัดขึ้นมา มีบอร์ดี้แบบอูมๆ เบาๆ กลิ่นควันยังชัด มีกลิ่นเปลือกมะนาว เลมอล
Finish: ทิ้งรสขม สัมผัสเผ็ดนิดๆ ไว้บนลิ้นและภายในปากนานพอสมควร มีกลิ่นควันซึ่มๆ แทรกมากับกลิ่นเปลือกมะนาวบางๆ
สรุป: เป็นวิสกี้ที่ผมบอกได้เลยว่าราคาคุ้มค่ามาก มีทั้งกลิ่นควันที่เป็นเอกลักษณ์ รสชาติที่ไม่จัดจนเกินไปแทรกซึ่มมากับกลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวอ่อนๆ เหมาะกับผู้ที่ต้องการจะลองเข้าสู่สายควันหากไม่ชอบก็ไม่ต้องเสียดายเงินมาก แต่หากชอบมีอีกหลายตัวให้ต่อยอดได้อีกไกล ส่วนตัวผมก็คงเป็น Fan club โรงกลั่นนี้ต่อไป
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
NEWS UPDATE!! ใครเป็นแฟน Glenfiddich จงอ่าน
โชคดีของผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศลองมองหาดูนะครับ Glenfiddich Single Malt Whisky รุ่น Cask Collection ออกมาใหม่ มีให้ลองกัน 3 ตัวได้แก่ the Select Cask, the Reserve Cask มีขายแล้วราคาค่าตัว ที่£ 39, £ 49 และ รุ่น the Vintage Cask ราคา £ 79 ซึ่งจะวางขายช่วงปีหน้า
โดยจุดเด่นของ Cask Collection จะใช้เทกนิค Solera vat เหมือนรุ่นมาตราฐาน 15ปี จุดเด่นของตัว the Select Cask คือจะใช้วิสกี้ที่บ่มในถัง ex-bourbon ถัง ex-European oak และถัง ex-Californian red wine มาปู่ยี่ปู่ยำกันส่วนตัว the Reserve Cask เลือกใช้วิสกี้ที่บ่มในถัง ex-sherry และตัว the Vintage Cask ข่าวรั่วว่าใช้ Peated spirit บ่มในถัง ex-bourbon และถัง ex-European oak (ชัวร์หรือมั่วคงต้องหามาลอง)
ถ้าข่าวตัว the Vintage Cask ไม่มั่วผมคงต้องขอจองซักขวด
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
พาเที่ยวโรงกลั่น Nikka Yoichi@Hokkaida
สวัสดีครับเพื่อนๆ
เนื่องจากเดือนที่แล้วผมไม่ได้เขียนรีวิวเดือนนี้เลยขอทบยอดเป็นรีวิวโรงก
ลั่นหล่ะกันนะครับ โรงกลั่นที่ผมจะพาไปเที่ยวนี้ชื่อ Nikka ที่เมือง Yoichi
Hokkaido ครับ การเดินทางมาเที่ยวที่นี่ก็ไม่ยากครับ(แต่ต้องมาให้ถึง
Hokkaido ประเทศญี่ปุ่นก่อนนะครับ) สามารถนั่งรถไฟ JR ใช้ระยะเวลาประมาณ 1
ชม.จากสถานี Sapporo มาลงสถานี Yoichi
ได้เลยออกมาจากหน้าสถานีเดินตรงไปประมาณ 200เมตรก็ถึงครับ
ทางโรงกลั่นเปิดให้เที่ยวชมตั้งแต่เวลา 9.00น. ถึง 17.00น.ครับ
โดยมีแบบเดินเที่ยวเองและเป็นคณะ
ซึ่งแบบคณะจะต้องจองและมีบรรยายเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นครับ
รายละเอียดอื่นสามารถอ่านจาก Link: http://www.nikka.com/eng/distilleries/ ครับ
โรงกลั่น Nikka ก่อตั้งโดยคุณ Masataka Taketsuru ซึ่งท่านไปเรียนศาสษร์วิสกี้ที่ University of Glasgow ประเทศสก๊อตแลนด์ และถือเป็นคนญี่ปุ่นคนแรกที่เรียนด้านการทำวิสกี้ คุณ Masataka ใช้เวลาเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์และศึกษาวิสกี้อยู่ในยุโรปร่วมสิบปีและ กลับมาที่ประเทศญี่ปุ่น สร้างโรงกลั่นวิสกี้ Nikka ในปี ค.ศ.1934 ซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นลองจาก Yamazaki โดยเลือกเมือง Yoichi ซึ่งอยู่ติดทะเลเป็นเมืองท่า มีแหล่งน้ำคุณภาพ และมีสภาวะอากาศใกล้เคียงเขต Highland ของประเทศสก๊อตแลนด์ เพื่อสร้างสรรค์วิสกี้คุณภาพ
การเดินทางของผมในครั้งนี้น่าเสียดายที่เวลาค่อนข้างน้อยเพราะสภาพอากาศทำ ให้ผมไปถึงโรงกลั่นเวลา 16.30น. อีก 30นาทีปิด แต่ไม่เป็นไรลุยเท่าที่ได้หล่ะกันเดินเข้ามาถึงประตูด้านหน้าพนักงานต้อนรับ ก็ยื่นแผนผังในการเดินชมเที่ยวให้และชี้เป้าว่าอย่าลืมไปเทสวิสกี้ด้วยนะ ผมก็ไม่รอช้าเดินจ่ำไปอย่างเร็ว
มาถึงห้องแรกทางซ้ายมือ เป็นห้องกลั่นซึ่งมีหม้อกลั่นแบบ Normal pot still ตั้งเรียงรายอยู่ครับ โดยในห้องได้มีการจัดแสดงภาพการกลั่น และตัวอย่างพื้นผิวของหม้อกลั่นซึ่งเราจะเห็นความหนาของหม้อทองแดงได้อย่าง ชัดเจน
เดินออกมาจากห้องกลั่นทางซ้ายมือจะพบห้องจัดแสดงการทำถังไม้ครับ
ซึ่งที่นี่มีภาพขั้นตอนการทำ(ภาษาญี่ปุ่น...อ่านไม่ออก)
พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งที่ Nikka ก็ใช้ถังซ้ำเช่นเดียวกับสก๊อตวิสกี้
ผมใช้เวลาในห้องนี้ไม่ค่อยนานเท่าไหร่
เดินออกมาจะพบห้องจัดแสดง
ทางขวาจะพบทางเข้าซึ่งแบบออกเป็น 2อาคาร
อาคารแรกทางขวามือทางโรงกลั่นไม่อนุญาตให้เข้า
แต่จากกลิ่นและอุณหภูมิน่าจะเป็นห้องทำ Mash โดย Mash
ที่ได้จะถูกส่งไปอาคารทางซ้ายมือเป็นห้องหมักเพื่อให้ได้ Wash (อยากรู้ว่า
Mash และ Wash คืออะไรลองอ่านที่ผมเคยเขียนเมื่อครั้งไปIslay ได้ครับ)
ซึ่งในอาคารที่ 2
นี้เราจะเห็นถังหมักซึ่งทางโรงกลั่นได้จัดแสดงขั้นตอนต่างๆ ผ่านจอ LCD
และมีตัวอย่างให้เราลองสังเกตุกันดูครับ
เมื่อออกมาจากโซนอาคารจัดแสดงแล้วจะพบกับรูปปั้นของคุณ Masataka Taketsuru ซึ่งในบริเวณนี้รอบๆ จะเป็นสวนมีต้นไม้ใหญ่อากาศร่มรื่นมากๆ และถ้าสังเกตุดีๆ จะมีโรงบ่มวิสกี้ตั้งอยู่มากมาย โดยใรงบ่มเหล่านี้จะต้องอยู่ในที่มืดและมีอุณหภูมิที่พอเหมาะเพื่อให้ถังไม้ ค่อยๆ ช่วยสร้างสรรค์วิสกี้ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของ Nikka
เดินมาได้ซักพักจะพบห้องทางขวามือซึ่งเป็นที่ตั้งของ Whisky Museum และ Whisky Club มีการจัดแสดงที่เล่าถึงประวัติของโรงกลั่นและประวัติของคุณ Masataka Taketsuru พร้อมทั้งรางวัลต่างๆ ที่ Nikka เคยได้รับอย่างมากมาย และในส่วนของวิสกี้คลับคือเราสามารถเลือกซื้อเหล้าเพื่อดื่มได้หลายตัวมากๆ ทั้งของทางโรงกลั่นเองและวิสกี้จากต่างประเทศในราคาที่ถือว่าถูกมากที เดียว...เสียดายเวลาผมน้อยมากจึงไม่สามารถจัดได้
เมื่อเดินออกมาจาก Whisky Museum ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องที่ชื่อว่า Single Barrel ซึ่งห้องนี้จะนำวิสกี้ที่เป็น Single Cask ของทางโรงกลั่นออกมาโชว์และขาย คำว่า Single Cask ก็แปลตรงตัวครับคือเหล้าที่มาจากถังเดียวไม่มีการผสมกับถังอื่นซึ่งจะหาซื้อ ได้แค่ที่นี่เท่านั้นครับ
เมื่อออกจากห้อง Single Barrel แล้วผมก็มุ่งตรงไปยังจุดที่พนักงานต้อนรับบอกคือ อาคารที่จะมี Whisky Testing ครับซึ่งส่วนที่ทำ Testing นั้นอยู่บนชั้น 2 ของอาคารมีทั้งวิสกี้และบรั่นดี(นอกจากวิสกี้แล้วเค้ายังทำบรั่นดีด้วยนะ) ให้ชิมหลายตัวครับ แต่จะเป็นตัวมาตรฐานของทางโรงกลั่นครับ
ซึ่งที่ผมเลือกชิมเป็น Nikka Whisky 17 ปี รสชาติหวานนิดๆ เป็นแนวหอมสดชื่นกลิ่นน้ำผึ้ง ผลไม้ฉ่ำนิดๆ ดื่มง่ายมากๆ
ส่วน
ตัวต่อมาเป็น Nikka Yoichi Single Malt 10ปี
ตัวนี้รสชาติแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกว่าในเรื่องของความนุ่มนวลและกลิ่นคลาเมล วนิลา โอ๊ค อบเชยชัดเจนครับจบไปแบบน่าประทับใจ ถ้าให้ผมเลือกซื้อตัว
Nikka Yoichi Single Malt 10ปี ถือว่าน่าสนใจทีเดียว
หลังจากออกจากห้อง Testing
ลงมาเยื่องไปเล็กน้อยเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งมีทั้งของดีของเมืองและของ
ดีของโรงกลั่นครับ
ผมอยากจะใช้เวลาเลือกดูนานซักหน่อยแต่เวลาก็แทบจะหมดอยู่แล้วตัวผมเลือก
Single Cask ขวดเล็กมา 1 ขวด เนื่องจากผมแพ้อยู่ 2
คำในการซื้อวิสกี้ครับคือ Single Cask และ Peat Smoke ซึ่งขวดนี้มีทั้ง 2
คำผมก็ต้องแพ้ทางไปตามระเบียบครับ
การมาเยือนโรงกลั่น Nikka Yoichi ถือว่าสนุกมากครับเสียดายเรื่องเดียวคือเวลาของผมน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่ซัก 3ชม. โรงกลั่นนี้ผมประทับใจมากครับเพราะมีขนาดใหญ่พื้นที่กว้างขวางกว่าที่ Islay อย่างมากเดินได้ทั่วอย่างกับสวนสาธารณะ การวางตำแหน่งของอาคารต่างๆ ถือว่าเยี่ยมเลยครับ เป็นโรงกลั่นที่ทันสมัยทีเดียว และยังมีให้ชิมฟรีอีกเอาไปเลย 9คะแนน ที่ตกไป 1คะแนนคือมีภาษาอังกฤษน้อยไปหน่อย ถ้าเพื่อนๆ สนใจอยากมาเที่ยวสามารถสอบถามผมมาได้ครับ
สถานีรถไฟ Yoichi |
โรงกลั่น Nikka ก่อตั้งโดยคุณ Masataka Taketsuru ซึ่งท่านไปเรียนศาสษร์วิสกี้ที่ University of Glasgow ประเทศสก๊อตแลนด์ และถือเป็นคนญี่ปุ่นคนแรกที่เรียนด้านการทำวิสกี้ คุณ Masataka ใช้เวลาเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์และศึกษาวิสกี้อยู่ในยุโรปร่วมสิบปีและ กลับมาที่ประเทศญี่ปุ่น สร้างโรงกลั่นวิสกี้ Nikka ในปี ค.ศ.1934 ซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นลองจาก Yamazaki โดยเลือกเมือง Yoichi ซึ่งอยู่ติดทะเลเป็นเมืองท่า มีแหล่งน้ำคุณภาพ และมีสภาวะอากาศใกล้เคียงเขต Highland ของประเทศสก๊อตแลนด์ เพื่อสร้างสรรค์วิสกี้คุณภาพ
การเดินทางของผมในครั้งนี้น่าเสียดายที่เวลาค่อนข้างน้อยเพราะสภาพอากาศทำ ให้ผมไปถึงโรงกลั่นเวลา 16.30น. อีก 30นาทีปิด แต่ไม่เป็นไรลุยเท่าที่ได้หล่ะกันเดินเข้ามาถึงประตูด้านหน้าพนักงานต้อนรับ ก็ยื่นแผนผังในการเดินชมเที่ยวให้และชี้เป้าว่าอย่าลืมไปเทสวิสกี้ด้วยนะ ผมก็ไม่รอช้าเดินจ่ำไปอย่างเร็ว
ด้านหน้าทางเข้าโรงกลั่น |
อ่านไม่ออกอะ |
ภายในโรงกลั่นเมื่อพ้นประตูทางเข้า |
มาถึงห้องแรกทางซ้ายมือ เป็นห้องกลั่นซึ่งมีหม้อกลั่นแบบ Normal pot still ตั้งเรียงรายอยู่ครับ โดยในห้องได้มีการจัดแสดงภาพการกลั่น และตัวอย่างพื้นผิวของหม้อกลั่นซึ่งเราจะเห็นความหนาของหม้อทองแดงได้อย่าง ชัดเจน
หม้อกลั่นตั้งเรียงราย |
ตัดให้ดูความหนาเนื้อทองแดงของหม้อกลั่น |
ภายในห้องจัดแสดงถัง |
เครื่องมือต่างๆ |
ลองอ่านกันดูนะ ผมอ่านไม่ออกจริงๆ |
น่าจะเป็นอาคารทำ Mash มีถังสำหรับใส่วัดถุดิบ |
ถังแสตนเลสขนาดใหญ่สำหรับหมัก Wash |
สีของ Wash ที่ได้ |
เมื่อออกมาจากโซนอาคารจัดแสดงแล้วจะพบกับรูปปั้นของคุณ Masataka Taketsuru ซึ่งในบริเวณนี้รอบๆ จะเป็นสวนมีต้นไม้ใหญ่อากาศร่มรื่นมากๆ และถ้าสังเกตุดีๆ จะมีโรงบ่มวิสกี้ตั้งอยู่มากมาย โดยใรงบ่มเหล่านี้จะต้องอยู่ในที่มืดและมีอุณหภูมิที่พอเหมาะเพื่อให้ถังไม้ ค่อยๆ ช่วยสร้างสรรค์วิสกี้ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของ Nikka
รูปปั้นของคุณ Masataka Taketsuru |
ห้องบ่มหลายสิบห้องเรียงราย |
บรรยากาศภายในมืดสนิทมีกลิ่นถังไม้ แอลกอฮอล์ และราอับๆ |
เดินมาได้ซักพักจะพบห้องทางขวามือซึ่งเป็นที่ตั้งของ Whisky Museum และ Whisky Club มีการจัดแสดงที่เล่าถึงประวัติของโรงกลั่นและประวัติของคุณ Masataka Taketsuru พร้อมทั้งรางวัลต่างๆ ที่ Nikka เคยได้รับอย่างมากมาย และในส่วนของวิสกี้คลับคือเราสามารถเลือกซื้อเหล้าเพื่อดื่มได้หลายตัวมากๆ ทั้งของทางโรงกลั่นเองและวิสกี้จากต่างประเทศในราคาที่ถือว่าถูกมากที เดียว...เสียดายเวลาผมน้อยมากจึงไม่สามารถจัดได้
ทางเข้า Museum |
การจัดวางเล่าเรื่องราวได้มีมากครับ |
จัดแสดงได้ดีมากครับ |
แต่ละตู้มีแต่ของหายากๆ |
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
ได้รับการยอมรับจากสากล |
Vintage รุ่นหายากๆ ทั้งนั้น |
บรรยากาศ Whisky Club อยากอยู่ทั้งวันเลย |
เมื่อเดินออกมาจาก Whisky Museum ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องที่ชื่อว่า Single Barrel ซึ่งห้องนี้จะนำวิสกี้ที่เป็น Single Cask ของทางโรงกลั่นออกมาโชว์และขาย คำว่า Single Cask ก็แปลตรงตัวครับคือเหล้าที่มาจากถังเดียวไม่มีการผสมกับถังอื่นซึ่งจะหาซื้อ ได้แค่ที่นี่เท่านั้นครับ
Single Cask ทั้งนั้นเลย อยากได้หมดเลยครับ แพ้ทางจริงๆ |
เมื่อออกจากห้อง Single Barrel แล้วผมก็มุ่งตรงไปยังจุดที่พนักงานต้อนรับบอกคือ อาคารที่จะมี Whisky Testing ครับซึ่งส่วนที่ทำ Testing นั้นอยู่บนชั้น 2 ของอาคารมีทั้งวิสกี้และบรั่นดี(นอกจากวิสกี้แล้วเค้ายังทำบรั่นดีด้วยนะ) ให้ชิมหลายตัวครับ แต่จะเป็นตัวมาตรฐานของทางโรงกลั่นครับ
ห้องทำ Whisky Testing อยู่บนชั้น 2 ของอาคารทางขวา ส่วนชั้นล่างเป็นร้านอาหาร และอาคารด้านในคือที่ขายของ |
ซึ่งที่ผมเลือกชิมเป็น Nikka Whisky 17 ปี รสชาติหวานนิดๆ เป็นแนวหอมสดชื่นกลิ่นน้ำผึ้ง ผลไม้ฉ่ำนิดๆ ดื่มง่ายมากๆ
Nikka Whisky 17 ปี ตัวนี้ที่ญี่ปุ่นราคาพันกว่าบาทถือว่า OK เลยครับ |
ตัวนี้รางวัลใหญ่ๆ รับประกันว่าไม่แพ้สก๊อตวิสกี้แน่นอน เพราะเคยได้รางวัลแบบหักหน้ากันมาแล้ว ราคาก็พันต้นๆ เช่นกัน |
แพ้ทางจริงๆ ขนาดอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกซักตัวเจอภาษาอังกฤษไม่กี่คำซื้อเลย |
การมาเยือนโรงกลั่น Nikka Yoichi ถือว่าสนุกมากครับเสียดายเรื่องเดียวคือเวลาของผมน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่ซัก 3ชม. โรงกลั่นนี้ผมประทับใจมากครับเพราะมีขนาดใหญ่พื้นที่กว้างขวางกว่าที่ Islay อย่างมากเดินได้ทั่วอย่างกับสวนสาธารณะ การวางตำแหน่งของอาคารต่างๆ ถือว่าเยี่ยมเลยครับ เป็นโรงกลั่นที่ทันสมัยทีเดียว และยังมีให้ชิมฟรีอีกเอาไปเลย 9คะแนน ที่ตกไป 1คะแนนคือมีภาษาอังกฤษน้อยไปหน่อย ถ้าเพื่อนๆ สนใจอยากมาเที่ยวสามารถสอบถามผมมาได้ครับ
ลาด้วยภาพหม้อกลั่นที่เคยใช้ในอดีตที่อยู่ในสวนด้านหลัง บรรยากาศดีมากๆ ครับ |
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556
มาลอง Bushmills Single malt 10ปี วิสกี้จากโรงกลั่นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
สวัสดีมิตรสหายทุกท่าน
มาพบกับผมอีกตามเคยสำหรับการรีวิวเหล้าประจำเดือนสิงหาคม
เดือนนี้ผมขอเสนอวิสกี้จากไอแลนด์เป็นไอริสวิสกี้ตัวแรกที่ผมเขียนถึงนะครับ
คำว่าวิสกี้ชาวไอริสจะเขียนว่า Whiskey
มีตัว e เพิ่มขึ้นมา
เขียนเหมือนคำว่าวิสกี้ที่มาจากอเมริกา
แต่จะให้พูดให้ถูกต้องบอกว่าวิสกี้ในอเมริกาเขียนเหมือนของไอแลนด์มากกว่าเพราะจากการหลักฐานคนอเมริกาที่ทำวิสกี้น่าจะเป็นคนไอริสที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานครับ
แต่วิสกี้บางยี่ห้อในอเมริกาก็เขียนแบบไม่มี e
เหมือนกันครับก็สามารถสันนิฐานได้เช่นกันว่าน่าจะอพยพมาจากสก๊อตแลนด์
ขวดขนาด 1 ลิตรบรรทุกดีกรีมาที่ 40% |
มาเข้าเรื่องกันครับ
วิสกี้ที่ผมจะรีวิววันนี้ยี่ห้อ Bushmill
ครับความพิเศษของยี่ห้อนี้คือเป็นโรงกลั่นวิสกี้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการบันทึกและยังเปิดกิจการอยู่
ก็พี่แกเล่นเปิดตั้งแต่ปี ค.ศ.1608 โรงกลั่นเพื่อนๆ ที่เก่าพอๆ
กันส่วนใหญ่ปิดไปหมดแล้ว ส่วนน้อยกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ จุดเด่นของโรงกลั่น Bushmill คือเค้าจะผลิตแต่ Malt Whiskey มีผลิต Blend Whiskey บ้างเหมือนกันโดยจะนำเข้า
Grin Whiskey จากโรงกลั่นอื่น
โดยจุดเด่นของโรงกลั่นนี้คือผลิตวิสกี้แบบไม่มีกลิ่น Peat หรือกลิ่นควันครับแต่ในอดีต Bushmaill เองก็ทำวิสกี้ที่มีกลิ่น Peat แต่ก็เลิกไปด้วยความคิดที่ว่าต้องพัฒนาให้ต่างกับวิสกี้ส่วนใหญ่ในท้องตลาดซึ่งความคิดนี้เองทำให้
Bushmill รอดพ้นวิกฤตการณ์วิสกี้ตกต่ำ(ช่วงปี1970-1990)
เพราะวิสกี้แบบ unpeat มีรสอ่อนนุ่มได้รับความนิยมทำให้โรงกลั่นสามารถอยู่ได้แม้ในสภาพวะตลาดวิสกี้ตกต่ำ
ขายาวเหนียวหนืด |
สำหรับรุ่นที่จะรีวิวคือ
10ปี Single Malt Whiskey บรรทุกดีกรีที่ 40% รุ่นนี้หาซื้อไม่ยากตาม Duty
Free จะมีขายรุ่นนี้บ่มในถังไม้โอ๊ค 2 ถังคือ Bourbon และ Olosoro Sherry cask ซึ่งความโดดเด่นคือถัง Olosoro
จะใช้ในการบ่มไวน์ให้ได้กลิ่นแนวผลไม้สุก ครีมๆ
เรามาลองดูกันว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร
Appearance: สีออกทองเหลืองใส่ ขาเล็กยาวไหลช้า
Appearance: สีออกทองเหลืองใส่ ขาเล็กยาวไหลช้า
Aroma: แอปเปิ้ล สาลี่ แพรสุกๆ เด่น ติดวนิลา น้ำผึ้งนิดๆ
Taste: รสหวานเด่น นุ่มนวลแต่มีติดเผ็ดบ้างนิดหน่อย กลิ่นผลไม้ แอปเปิ้ล สาลี่สุกๆ ฉ่ำๆ
With Water: ยังคงความหวานฉ่ำ ความเผ็ดลดลงไปมาก กลิ่นแพรเชื่อม
Finish: หวานติดมาอ่อนๆ บอร์ดี้มันๆ วนๆ อยู่ในปาก กลิ่นตีขึ้นมาไม่ค่อยมี จบไปแบบใส่ๆ
สรุป:
ผมพลาดตัวนี้ได้อย่างไรเพราะก่อนหน้าผมเคยลองไอริสวิสกี้ตัวอื่นไม่ประทับใจเลยทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆ
รสชาติจืดจาง มาเจอตัวนี้เปลี่ยนความคิดเลยครับ ผลไม้ฉ่ำๆ ถึงขั้นเชื่อม
ดันมาตั้งแต่เปิดขวด สัมผัสนุ่มนวลมากสำหรับเหล้า 10ปี ที่ตกไปอาจจะมีแค่จบ clear ไปนิดแต่ก็ถือเป็นจุดเด่นได้เหมือนกัน
ใครอยากรู้ว่าวิสกี้ที่กลิ่นผลไม้สุก เด่นๆ เป็นอย่างไร
หรือคนที่ชอบแนวนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ สำหรับผมแม้จะเป็นค.ควัน แต่ในบางอารมณ์ที่ต้องการความสดชื่น
Bushmill Single Malt 10
ปีขวดนี้ช่วยได้เลยครับ
แก้วเดียวคงไม่พอ |
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
The Macallan Whisky Maker's Edition 42.8%
ช่วงเวลานี้เพื่อนๆ หลายท่านคงอยู่ในช่วงงดเหล้าเข้าพรรษา
ผมซึ่งก็ดื่มมาตลอดทุกปีไม่เคยงดกับเขาเลยซักที ปีนี้ก็เช่นเดิมแต่จะลดปริมาณและความถี่ลงเพื่อปรับสภาพร่างกาบซักหน่อย
แต่ยังไงก็ไม่ลืมรีวิวแน่นอนครับ
ในเดือนนี้ผมหยิบ The
Macallan รุ่น Whisky Maker's Edition ขึ้นมารีวิวครับซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยรีวิวรุ่น
Select Oak และ 12ปีไปแล้วโดยรุ่นนี้จะอยู่ในซีรี่ย์เดียวกับ
Select Oak เน้นทำตลาดกลุ่มคนเดินทางจะมีวางขายอยู่ตาม Duty
free โดยค่าตัวก็ถือว่าไม่เบาอยู่ที่ประมาณสามพันปลายๆ
โดยเจ้านี่มีฉลากสีแดงสะท้อนแสงบรรจุมากับขวดขนาด
1 ลิตรบรรทุกแอลกอฮอล์ที่ 42.8% โดยระบุว่ากลิ่นออกไปทาง
Fruit and Spice เรามาลองดูกันว่าจะเป็นไปตามที่เค้าว่าไว้กันไหม
Aroma: กลิ่นชะเอม กานพลู น้ำผึ้งจางๆ แซมมากับคลาเมล
Taste: รสเผ็ด หวานนิดๆ
กลิ่นแอลกอฮอล์เยอะพอสมควร กลิ่นชะเอมเด่นแต่ก็มาจางๆ รู้สึกเย็นๆ
กลิ่นคล้ายสะระแหน่ มีโอ๊คติดมานิดๆ
With Water: ความเผ็ดยังเด่นอยู่ กลิ่นต่างๆ
หายไปเยอะ กลิ่นชะเอมขมนัวๆ อ่อนๆ อยู่ในปาก
Finish: ทิ้งความเผ็ดไว้ทั่วทุกมุมปาก รู้สึกเย็นๆ
ฝาดที่ลิ้น บอร์ดี้ไม่ค่อยมี เหลือกลิ่นชะเอม เปลือกส้มแห้งไว้นิดหน่อย
สรุป: ตัวนี้รสออกไปทางเผ็ด บอร์ดี้ไม่ค่อยมี
กลิ่นเด่นๆ ออกไปทางสมุนไพรพวกชะเอม กานพลู การบูร แม้มีติดโอ๊คมาบ้างแต่ก็น้อยมาก
ซึ่งผมคิดว่าน่าจะใช้วิสกี้อายุน้อยทั้งจากถัง Sherry และถัง ex-Bourbon มาผสมกันจนกลิ่นรวมๆออกมา
คล้ายยาหม่องเย็นๆ ตีขึ้นจมูกแก้วิงเวียนดีครับ ความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่สมราคากับชื่อสถาบันนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)