พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Johnnie Walker Double Black(unlimited edition)





สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากผ่านเดือนพฤศจิกายนที่ผมมีกิจกรรมมากมายทำให้ไม่ได้มานั่งเขียน review ให้เพื่อนๆเสพกัน มาเดือนนี้ผมขอยกเหล้าพื้นๆ ที่หาได้ในบ้านเรามาเขียนหล่ะกัน เพราะมองไปมองมาแถวนี้มันหา SM ยากเหลือเกิน

ดูจากรูปก็คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะมันคือ Johnnie Walker รุ่น Double Black ที่เข้ามาทำตลาดอยู่ในบ้านเราร่วมๆ 2ปีแล้ว รุ่นนี้ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น Black Label 12 ปี ที่มีความโดดเด่นที่สัมผัสนุ่มนวล หอมฟุ้งของกลิ่นวนิลาซ่อนด้วยควันเข้มข้น โดย Double Black จะเพิ่มกลิ่นควันให้โดดเด่นและบอร์ดี้ที่ชุ่มฉ่ำมากขึ้น

ขวดนี้หาซื้อไม่ยากโดยผมได้มาจากร้าน 7-11 ในราคาพันกลางๆ แต่ที่น่าสังเกตุคือที่หน้ากล่องไม่มีเขียนคำว่า "Limited Edition" แล้ว

Appearance: สีทองเข้มไปทางน้ำตาล (กลุ่มสี russetmuscat) ขาเล็ก-กลาง ไหลเร็วพอสมควร
Aroma: กลิ่นวนิลาเด่น ซ้อนด้วยกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ ผสมๆ มากับควัน

Taste: รสหวาน เค็มๆ นิดๆ สัมผัสลิ้นนุ่มนวลเผ็ดเล็กน้อย กลิ่นวนิลาเด่น Oaky  บอร์ดี้กลางๆ ผสมด้วยกลิ่นควันอ่อนๆ

With Water: รสหวานเด่น ชุ่มฉ่ำในปากดี วนิลายังไม่ทิ้งลายควันยังมาแบบแอบๆ

Finish: ทิ้งวนิลาไว้ในปากตีกลับขึ้นมาด้วยควันอ่อนๆ และ บอร์ดี้ชุ่มๆ จบไปแบบสั้นๆ




สรุป: รสชาติโดยรวมคล้าย Black Label 12ปี แต่บอร์ดี้และน้ำหนักของ Double Black สู้ไม่ได้ออกไปทางจืดซะด้วยซ้ำ จะมีควันที่ดูเหมือนจะมีมากกว่าแต่ก็ไม่ได้ว่ามากมายอะไรโดยรวมไม่ประทับใจ เพราะผมเคยดื่มตัวที่มีคำว่า "Limited Edition" เมื่อครั้งแรกๆ ที่ออกมาซึ่งผมประทับใจมากทีเดียวจำได้ว่าแค่ดมแก้วกลิ่นควันก็พวยพุ่งออกมาแล้ว ดื่มได้แบบยาวๆ เพราะผมเป็นคนชอบเหล้าที่มีกลิ่นควันเป็นทุนเดิม แต่พอมาขวดนี้กลับทำรสชาติเปลี่ยนไปซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับแบรนด์ระดับนี้

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Highland Park 18 years 43%






เข้าเดือนตุลาคมมาก็นานจนจะเข้าเดือนใหม่แล้วผมยังไม่ได้รีวิวซักตัว เนื่องจากเดือนนี้มีญาติสนิทมิตรสหายมาเยี่ยมหลายท่านทำให้เวลาส่วนใหญ่ไปสังสรรค์ซะหมด พอจะรีวิวเหล้าซักตัวบรรยากาศเลยอึนๆ วันนี้เลิศงามยามดี สุขขีอุราจึงได้จัดเหล้าในสต๊อกที่เฝ้าใฝ่หามาซะนานกับ Highland Park 18 ปี

ตัวนี้ผมคาดหวังไว้สูงเพราะผมประทับใจกับตัว 12ปีมาก แถมตัวนี้นักเขียน นักชิมหลายคนมักจะพูดถึงในทำนองว่า The Best บ้างหล่ะเป็นอะไรที่เป็นนิยามของ whisky บ้างหล่ะ เป็น all around บ้างหล่ะแถมในหนังสือของ MJ 5th edition ยังล่อคะแนนเข้าไปตั้ง 92 ใครๆ ก็รู้ว่าลุงผู้เป็นตำนานไม่ให้คะแนนใครเกิน 90ง่ายๆ

จุดเด่นของ Highland Park 18ปี ขวดนี้คือเป็น Whisky ที่ถูกบ่มในถังไม้ Sherry จาก Spain และบรรจุมาที่ 43 ดีกรี จึงน่าจะมีรสเผ็ดเป็นลักษณะเด่น ไม่รอช้าจัดโต๊ะเตรียมแก้ว Glencairn และน้ำเย็นเปิดฝาขวดพร้อมลุย
       
Appearance: สีทองเหลืองใส(amontillado sherry) ขาเล็กยาวไหลช้าเป็นระเบียบสวยงาม
 
Aroma: น้ำผึ้ง อบเชย ซ้อนด้วยกลิ่นคลาเมลไหม้
 
Taste: เผ็ดลิ้น หวานกลาง กลิ่นน้ำผึ้ง ลูกเกด ควัน โอ๊ค สัมผัสมันเนย
 
With Water: สัมผัสนุ่ม หวานเด่น แต่ยังคงความเผ็ด กลิ่นควันนำ น้ำผึ้ง Dark chocolate Dry body

Finish: เผ็ด หวานคาในปาก Dry body กลิ่นควันตีกลับยาวนาน

 


สรุป: หากได้เคยลองตัว 12ปีมาก่อนตัว 18ปีนี้ไม่ได้นุ่มขึ้นเลย แต่กลับโหดกว่าเดิมเริ่มจากการยั่วด้วยกลิ่นน้ำผึ้งหอมหวานแต่กลับตบด้วยความเผ็ด รสชาติหลากหลายใน 1แก้วแบบว่ามีจุดเด่นของเหล้าแทบทุกเขต ทั้งรสเผ็ด หวาน กลิ่นมาทั้งแนวน้ำผึ้ง ควัน ผลไม้ โอ๊ค แถมยังจบด้วย Body อวบอิ่มแล้ววิ่งไป Dry Finish ยาวนาน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หลบแต่ออกมาให้ได้สัมผ้สแบบเต็มๆ Highland Park 18ปีตัวนี้จึงเป็นเหล้าที่ดีมากในการสร้างความสมดุลคือเหมือนว่าใครๆ ก็ดื่มได้เช่น ไม่ชอบเหล้าที่ออกกลิ่นโอ๊คตัวนี้ก็มีควันมาทดแทน ไม่ชอบเหล้าเผ็ดเติมน้ำนิดหน่อยก็จะมีรสหวานน้ำผึ้งมาทดแทน คือไปได้กับทุกๆ คน แต่ข้อด้อยคือเมื่อเป็นเหล้าที่มีครบทุกรสแล้วในอารมณ์ที่ต้องการความสุดในด้านใดด้านหนึ่ง Highland Park 18ปีอาจจะไม่ใช่คำตอบ

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Whisky glass

สวัสดีครับทุกท่าน ผมโชคครับ ตั้งแต่นี้ไปผมเองก็จะเป็นอีกคนนึงที่มาทำการลงบทความต่างๆเกี่ยวกับสุราเมรัยให้ทุกท่านให้อ่านกันครับ  วันนี้ผมขอเปิดตัวบทความแรกของผมกับบทความที่ว่าด้วยแก้วครับ ผิดพลาดประการใดต้องรบกวนนักอ่านทุกท่านช่วยติชมชี้แนะด้วยครับ

แก้วที่ผมนำมาทดสอบมีอยู่2ตัวครับ  ใบแรกมีชื่อเรียกว่าGlencairnครับ
 ซื่งต่อจากนี้ไปผมจะขอเรียกแก้วตัวนี้ว่าแก้วG
แก้วใบนี้ผมได้รับการอุปการะจากคุณตือเพื่อนสมาชิกของเรานี่เอง กระผมต้องขอขอบคุณไว้ ณที่นี้ด้วยครับ

แก้ว Gนั้นเป็นสินค้าของบริษัท Glencairn Crystal LtdจากประเทศScotland ซึ่งถูกออกแบบโดยนาย Raymond Davidsonผู้ซึ่งเป็นMDของบริษัทดังกล่าวซึ่งในขั้นตอนการออกแบบนั้นเค้าได้เชิญmaster blenderจากโรงผลิตใหญ่ทั้ง5แห่งมาร่วมออกแบบด้วย(แต่ข้อมูลไม่ได้บอกว่ามาจากโรงไหนบ้าง)  แก้วGนั้นได้ถูกผลิตและจำหน่ายออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในปี2001

แก้วใบที่2นั้นเป็นแก้วที่มาจากบริษัทผู้ผลิตแก้วที่โด่งดังและเก่าแก่ที่มีชื่อว่าRiedel   ต่อจากนี้ไปผมจะขอเรียกแก้วนี้ว่าแก้วR 
ถิ่นกำเนิดแก้วนี้นั้นมาจากประเทศออสเตรีย ซึ่งทำการผลิกแก้วมาตั้งแต่ปี1756  บรรดานักชิมไวน์ทั้งหลายนั้นคงจะรู้จักแก้วRเป็นอย่างดีเหล่าบรรดาSommelierจากทั่วโลกทั้งหลายก็ใช้แก้วจากที่นี่เป็นอาวุธประจำกายแต่พักหลังค่ายนี้ได้จัดทำแก้วสำหรับเครื่องดื่มอื่นๆออกมาหลายตัวเหมือนกันหลังจากที่เมื่อก่อนเล่นแต่แก้วไวน์อย่างเดียว


เหล้าที่ผมใช้ในการทดสอบแก้วทั้ง2ใบนั้นเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านของผมเอง นั้นก็คือGlenlivet 12yoซึ่งตัวนี้เป็นเหล้าที่ผมดื่มบ่อยที่สุดและเป็นเหล้าที่ไม่มีความซับซ้อนทางโครงสร้างอะไรมากนักโดยการทดสอบในครั้งนี้ผมได้รินเหล้าลงในแก้วในปริมาณที่เท่าๆกันและรินในเวลาเดียวกัน

เริ่มจากหัวข้อแรกกันก่อนเลย 
 ทรง
แก้วทั้ง2ไปนั้นมีทรงที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงแก้วGนั้นจะมีลักษณะเหมือนดอกบัวตูมและมีปากที่เล็ก ซึ่งการออกแบบในลักษณะนี้คงมีวัตถุประสงค์ที่ว่าตัวแก้วนั้นสามารถใส่เหล้าได้ในปริมาณมากในระดับนึงและทำการบีบกลิ่นที่ออกมาจากเหล้าเหล่านั้นให้แคบลงเพื่อที่จะให้กลิ่นที่ปล่อยออกมาจากปากของแก้วมีความชัดเจนสูง(เหมือนกับดัน,บีบกลิ่นให้พวยพุ่งออกมาจากแก้ว) ซึ่งแก้วตัวนี้จะได้เปรียบในเรื่องการดมกลิ่น
แก้วRถูกออกแบบให้มีทรงยาว(TUBE) แต่มีทีเด็ดที่การทำปากแก้วเป็นทรงปากแตรโดยมีวัตถุประสงที่ว่าเวลาดื่มนั้นเหล้าจะถูกสัมผัสจากปลายลิ้นก่อนก่อนที่จะดื่ม

การถือแก้ว
แก้วG
ผมไม่แน่ใจว่าควรต้องจับในบริเวณไหนของแก้วผมเลยจับที่ฐานซะเลย พบว่าในการถือแก้วนั้นอาจจะลำบากไปนิดคือเหมือนว่าต้องหงายข้อมือขึ้นมาตลอดเวลาจับแก้วซึ่งถ้าจับนานๆอาจเมื่อยมือได้
ปล. 1.ผมอาจจะจับแก้วGผิดวิธีถ้าท่านใดทราบวิธีการจับแก้วที่ถูกต้องรบกวนชี้แนะด้วย 
2.สาเหตุที่ผมไม่จับที่ตัวแก้วโดยตรงก็เพราะว่าคราบเหงื่อหรือลายนิ้วมือของผมอาจจะไปติดที่ตัวแก้วและอาจทำให้มองขา,สีเหล้าไม่สะดวก

แก้วR
 ตัวนี้นั้นผมเลือกที่จะจับที่ฐานเช่นกัน แต่ผมขอใช้คำว่าหนีบน่าจะดีกว่า เพราะเวลาหนีบแก้วไปนี้นั้นผมใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบที่ฐานและยกแก้ว  ซึ่งรู้สึกว่าถือสะดวกกว่าแก้วG สาเหตุที่สะดวกกว่าก็คือผมไม่ต้องฝืนข้อมือในการยก


การส่องขา
ทั้ง2ใบทำได้ดีเท่ากันครับ สามารถแสดงขาได้ชัดเจนดี แต่ด้วยเนื้อแก้วของแก้วRที่ทำมาได้ใสกว่าแก้วGจึงทำให้แก้วRนั้นจะสามารถมองขาได้ง่ายกว่าครับ

การดม
อันนี้แน่นอนครับแก้วGสามารถทำคะแนนได้ดีกว่าด้วยรูปทรงที่ถูกออกแบบมาสำหรับดมโดยเฉพาะ จับกลิ่นได้ชัดเจนกว่า รุนแรงกว่า จากผลทดลองคือว่ารินเหล้าในเวลาเดียวกันแต่เวลานำมาดมกลิ่นผมพบว่ากลิ่นที่ออกมาจากแก้วGนั้นจะยังมีกลิ่นLพวยพุงออกมา ซึ่งแตกต่างจากแก้วRที่จะไม่มีกลิ่นของLออกมาเลย  ซึ่งผมแนะนำว่าควรจะเทเหล้าทิ้งไว้ซักพักใหญ่ๆเพื่อให้กลิ่นLหมดไปเพื่อทำการหากลิ่นที่ชัดเจนมากขึ้นครับ ในขณะที่แก้วRนั้นทำได้ไม่ต่างกับแก้วโอลด์ แฟชั่นทั่วๆไป

การดื่ม
แก้วGนั้นเนื่องด้วยจากปากที่แคบทำให้เวลาดื่มนั้นขอบล่างของแก้วจะอยู่ที่บริเวณริมฝีปากบนและขอบบนของแก้วอยู่ที่บริเวณปลายจมูกพอดี ทำให้เหมือนกับการบังคับให้เราดื่มและดมได้ในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นข้อดีของแก้วไปนี้ แต่ข้อเสียคือผู้ดื่มจะต้องเองหัวไปทางหลังเพื่อให้เหล้าไหลเข้าปาก(ปากแก้วมันแคบ) ตำแหน่งที่เหล้าไหลลงสู่ลิ้นของผู้ดื่มนั้นคือตำแหน่งเกือบกลางๆของลิ้น และอีกอย่างคือถ้านักดื่มคนไหนรีบเร่งดื่มจนเกินไปอาจจะสำลักเหล้าเอาได้ง่ายๆ
แก้วR  จากรูปทรงปากแตรและมีปากที่กว้างนั้นทำให้ผู้ดื่มไม่ต้องเอียงหัวไปทางด้านหลังแต่อย่างใด แค่ทำการกระดกแก้วเหมือนกับที่เคยทำก็สามารถดื่มได้โดยสะดวก แต่อาจจะมีข้อดีตรงที่ว่าปากแก้วที่บานออกมานั้นมันจะทำให้เหล้าไหลเข้าไปได้อย่างsmoothมาก 

สรุป
อย่างแรกต้องขอบอกว่าแก้วทั้ง2ใบนั้นบอบบางมาก เรียกว่าพอใช้เสร็จแล้วต้องรีบล้างแล้วเก็บให้ดีเลยทีเดียว มิเช่นนั้นอาจจะโดนจานชามใบอื่นมากระแทกจนทำให้แก้วบิ่นหรือแตกได้(ส่วนตัวแล้วผมล้างด้วยมือไม่ใช้ฟองน้ำล้าง)
ความคิดเห็นของผมที่มีต่อแก้วทั้ง2 ถ้าหากวันไหนต้องการพักผ่อนสบายๆชิลๆกับเหล้าแนะให้ใช้แก้วR แต่ถ้าวันไหนคุณอยากรู้จักและสนินสนมกับเหล้าให้มากขึ้น ผมแนะนำให้ใช้แก้วGเพราะถึงแม้ว่าแก้วGนั้นจะทำการดื่มลำบากแต่ก็มีทีเด็ดที่หัวข้อการดมกลิ่น
แต่สำหรับผมแล้วผมเลือกใช้แก้วRเพราะมันทำให้ผมดื่มง่ายกว่าและที่สำคัญถ้าแตกไปยังพอหาซื้อได้ในบ้านเรา ซึ่งแก้วGนั้นหาซื้อในบ้านเราได้ยากมาก
และถ้าวันไหนผมใช้แก้วGขึ้นมานั่นก็แสดงว่าผมต้องการทำความรู้จักเหล้าที่ผมดื่มให้มากขึ้นนั่นเอง

                ขอบคุณทุกท่านครับที่อดทนอ่านมาจนจบถ้ามีคำแนะนำติชมอะไรก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ และอย่าลืมนะครับว่าบทความนี้ถูกกลั่นขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผมล้วนๆ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมันอาจจะไม่ใช่ตามที่ผมบอกก็อาจเป็นได้



วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

Port Charlotte PC8 Ar Duthchas 60.5% @Macallan Whisky Bar&Lounge( Part 2)



หลังจากจัด Kilchoman ไปแล้วผมก็ไม่รีรอจะจัดวิสกี้จาก Islay อีกซักตัวซึ่งก็คงหนีไม่พ้นยี่ห้อที่หาได้ลำบากในบ้านเราและต้องหนักในกลิ่น Peat ก็เลยมาจบที่ Port Charlotte PC8 โรงกลั่นนี้ชื่ออาจจะไม่คุ้นจะเป็นโรงกลั่นใหม่หรือป่าวคำตอบคือไม่ใช่ครับ Port Charlotte เป็นชื่อที่ถูกใช้โดยโรงกลั่น Bruichladdich ที่มีเหล้าหลายรุ่นมากๆ โดย Port  Charlotte เคยเป็นโรงกลั่นที่เปิดในช่วงปี 1829 ถึง 1929 ตั่งอยู่ทางใต้ของ Bruichladdich ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแหล่งผลิต Malt ป้อนให้ Bruichladdich นำไปผลิตวิสกี้



สำหรับ Port Charlotte จะเป็น Series ที่มีเอกลักษณ์ที่ Peat เป็นหลัก โดย PC8 ขวดนี้บรรจุที่ดีกรี 60.5% อายุการบ่มน่าจะอยู่ที่ 3 ถึง 5ปี เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากงาน Spirit of the Fringe เมื่อปี 2009 ถือว่าแปลกนะน่าสนใจมิใช่น้อย

Appearance: สีมองไม่ชัดเพราะร้านมืดมาก(เหมือนเดิม) ส่วนขาเล็ก ยาวไหลเร็วบอร์ดี้ดูจะน้อยเมื่อเทียบกับดีกรี


Aroma: มีกลิ่น Peat ซ่อนมาในกลิ่นแอลกอฮอล์ 

Taste: เผ็ดร้อนตามดีกรีที่สูง มีรสเค็มนิด กลิ่นออกเนย อัลมอล ปิดด้วย Peat ขึ้นจมูก

With Water: Peat เด่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้จัดอะไร บอร์ดี้ฉ่ำมาบางๆ

Finish: เค็มๆ Dry แล้วหายไป แต่มี Peat ควันตีกลับขึ้นมาเป็นขบวนไม่ยาวมาก

สรุป: ตัวนี้ผมคิดว่าเด่นที่เค้าซ่อนกลิ่น Peat ไว้คือดื่มเข้าไปแล้วมีควันติดมานิดๆ แต่ตอนจบควันมาเป็นพรวนเลย แต่หากเทียบกับ Kilchoman ที่ผมรีวิวไปก่อนหน้าตัวนี้รสชาติจะอ่อนกว่าพอสมควรแม้จะมีดีกรีที่สูงกว่าก็ตาม PC8 หากมีโอกาสก็น่ามีไว้ดื่มเปลี่ยนอารมณ์ แต่หากว่าต้องเลือกจริงๆ ผมชอบแบบที่มีตรงๆ แน่นๆ จบยาวๆ จะดีกว่าครับ

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

Kilchoman Spring Release 2011 46% @Macallan Whisky Bar&Lounge( Part 1)





เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวมาเก๊ากับท่านผบ.ทบ.และเจ้านายใหญ่ โดยเป้าหมายของแต่ละคนก็ต่างกันซึ่งตัวผมเองก็มุ่งเป้าไปหาอะไรก็เรารู้ๆ กันอยู่แล้ว โดยมีสถานที่หนึ่งที่ผมตั้งใจว่าจะไปให้ได้คือ Macallan Whisky Bar&Lounge ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Galaxy บนฝั่งไทปา (ใครอยากจะเดินทางมาที่นี่ง่ายๆ ครับแค่ขึ้นรถบัสของโรงแรมได้ทั้งที่สนามบินและท่าเรือ ขึ้นฟรีดิ่งตรงถึงโรงแรมเลยครับ) ร้านนี้เปิด 17.00น. นะครับมาเร็วไปอาจต้องไปเดินเล่นก่อน


 
การตกแต่งร้านเป็นสไตร์ British bar มีทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ เขาสัตว์ เตาผิง โซฟาหนัง ให้อารมณ์หรูๆ ขรึมๆ ครับ และแน่นอน ชั้นวางเหล้าที่ทำให้คุณตาลายได้เลย (ยังมีอีกหลายตู้โชว์และชั้นขนาดใหญ่ซึ่งผมไม่กล้าถ่ายมาลงเดียวทางร้านจะว่าเอา)


ที่ร้านนี้แม้จะขึ้นชื่อว่า Macallan แต่ก็มีวิสกี้จากหลายสำนักเอาเป็นว่าน่าจะมีทุกเจ้าในสก็อตร์รวมไปถึงญี่ปุ่น อินเดีย ไอริส ฯลฯ แต่ Vintage ในร้านเด่นๆ ราคาดุๆ ขวดเป็นแสนเป็นล้านก็คงหนีไม่พ้น Macallan และ Highland Park ครับส่วนเหล้าจากสำนักอื่นๆ ก็จะเป็นรุ่น Standard ไปจนถึงรุ่นหายากในระดับกลางๆ (หายากระดับกลางเช่น Octomore, Caol Ila Cask Strength, Lagavulin distiller edition ปีเก่าๆ เป็นต้น)


และแน่นอนเมื่อผมมาถึงร้านนี้แล้วก็คงไม่พลาดที่จะต้องลิ้มลองวิสกี้แจ่มๆ ซักหน่อยโดยผมเลือก Kilchoman Spring Release 2011 ซึ่ง Kilchoman เป็นโรงกลั่นที่เพิ่งจะกลับมาเปิดใหม่เมื่อในปี 2004 ตัวโรงกลั่นตั้งอยู่บน Islay ที่ผมเลือกตัวนี้เพราะผมคิดว่าหายากสำหรับผมและที่น่าสนใจคือโรงกลั่นนี้ใช้เหล้าที่อายุน้อยในการ Blend โดยส่วนประกอบของขวดนี้ใช้เหล้าที่บ่มเพียง 3ปี 70%และเหล้าที่บ่ม 4ปีอีก 30% มาผสมกัน แต่ที่พิเศษคือเหล้าถังที่บ่ม 4ปีถูก Finish ในถัง oloroso sherry ที่มีบ่มเหล้ามาแล้ว 20ปี บรรทุกดีกรีแอลกอฮอล์ถึง 46% เสริฟมาพร้อมน้ำแร่ และถั่วอัลมอล+เม็ดมะม่วงจำนวนมหาศาล



Appearance: สีมองไม่ชัดเพราะร้านมืดมาก ส่วนขากลาง ใหญ่ ไหลหนืดๆ ให้อารมณ์ว่าบอร์ดี้มาแน่ๆ

Aroma: Peat, ควัน เต๊ะจมูก

Taste: รสหวาน สัมผัสเผ็ดร้อน กลิ่นหอมดอกไม้ กลิ่นไม้สดๆ ตบด้วยควันบุหรี่ บอร์ดี้ฉ่ำๆ มาแบบอูมๆ

With Water: Peat, ควันบุหรี่เด่นมาก ติดรสหวานมันเนย

Finish: จบฉ่ำนิดๆ ไม่ Dry ทิ้งกลิ่นควันยาวนานอย่างกับสูบบุหรี่จนคนข้างๆ ทัก






สรุป: ผมคิดว่าตัวนี้มาแบบครึ่งๆกลางๆระหว่าง Bowmore 15ปี Mariner กับ Lagavulin 16ปี โดนมีกลิ่นควันและความสดจบแบบฉ่ำนิดๆแล้ววิ่งไป Dry  ผมรู้สึกประทับใจกับเหล้าตัวนี้ กับสิ่งที่คนทำต้องการสื่อแม้อายุจะน้อยแต่หมัดหนักใช่เล่นสำหรับผมผู้เสพควันคิดว่ารสชาติดีกว่าเหล้าอายุมากๆ หลายตัวเลยครับ

และแน่นอนมาร้านนี้ทั้งทีคงไม่จบแค่เหล้าตัวเดียวครับ ติดตามต่อ Part 2 ครับ