พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Chivas Regal 18 Yo Gold Signature

ขอเลือก Chivas Regal 18 Yo ขวดนี้มาปิดท้ายเดือนนี้ก็แล้วกันนะครับ
เพิ่งจะจัดเข้าบ้านแต่ลัดคิวด่วนๆ ด้วยความอยากลองมานานแล้วครับ 

เปิดขวดรินออกมานี่ กลิ่นละม้ายคล้าย SM เป็นอย่างยิ่งครับ 
กลิ่นไปทางแนวอโรม่าหอมๆ กลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวที่เป็นแนวของ SM Highland เลยล่ะครับ หอมสดชื่นมากๆ ครับ
พร้อมทั้งกลิ่นโอ๊กที่ค่อนข้างชัดเจนเชียวครับ อารมณ์ของกลิ่นเหมือนกับ SM มากๆ ครับ ไม่เหมือนกับ Dewar's 18 Yo ครับ

ต่อกันที่ขาก่อนนะครับ ขาเหล้านั้นกลางๆ ไหลช้ากำลังดี ส่วนสีนั้นค่อนข้างเข้มออกไปทางสีทองแดง ด้วยอายุเหล้าที่บ่มนาน 18 ปี


ไม่ให้เสียเวลาขอต่อกันที่รสชาติเลยก็แล้วกันนะครับ  ดื่มชากันดีก่า ...
จิบแรกรู้สึกว่าขมนิดๆ ตามขึ้นมาด้วยความหวานละมุ่นที่ค่อยๆ ตีกลับขึ้นมากคล้ายๆ กับรสชาติของคาราเมลครับ
จบด้วยความซ่าที่ค้างอยู่ในปาก พร้อมกับกลิ่นโอ๊กนุ่มๆ ที่ฟุ้งอยู่ในโพรงจมูก ไม่สั้นไม่ยาว แต่ชวนให้ประทับใจอยู่ไม่น้อยครับ


After Taste นั้นไม่สั้นไม่ยาว อารมณ์และกลิ่นที่ให้สัมผัสผมว่าละม้ายคล้าย SM ของแนว Glenmorangie ผสมกับ Macallan ตระกูล Fine Oak ครับ 
แต่ผสม และผสานกันได้อย่างลงตัว ทิ้งความฉ่ำ ปนแห้งนิดๆ ไว้ในปากอย่างอ้อยอิ่งพอให้ได้ถวิลหา 
ในอารมณ์ ที่อยากผ่อนคลายได้เจ้านี่ไว้ไม่ผิดหวังแน่ๆ ครับ 
แต่ค่าตัวที่แรงสำหรับเหล้ามีแสตมป์นี่ผมว่าถอยไปหา Glenmorangie Original ดีกว่าครับ
ถ้าเป็นจาก Duty Free หรือ TCL นี่ผมว่ามันเกินคุ้มเหมือน Dewar's 18 Yo ครับ


วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Dewar's 18 Year Old Founders Reserve

ได้รับเจ้า Dewar's 18 Yo จากขาประจำที่ผมฝากซื้อมาได้ 2-3 เดือนล่ะ
มาวันนี้เขาแวะมาหา พร้อมถามผมว่า เก่ง เอ็งได้ลอง Dewar's 18 Yo ไปหรือยัง
เจ่กเพิ่งลองไปเมื่ออาทิตย์ก่อน มันนิ่มมาก เนี๊ยะอีก 2-3 วันจะไปหามาเพิ่มอีก เอ็งจะเอาเพิ่มด้วยหรือปล่าวล่ะ
.... เอ่อ.... ผมยังไม่ได้เปิดเลยง่ะ จิ้มมม
ว่าแล้ววันนี้จัดเชือดกันไปเลยดีกว่า เผื่อว่าติดใจจะได้เป็นตัวเลือกของเดือนนี้

ว่าแล้วเรามาลองกันไปเลยครับ เริ่มที่กลิ่นหลังจากได้รินพักไว้สักครู่ มันหอมมากๆ ครับ
กลิ่นหวานๆ ของ butterscotch ที่ผมชอบอยู่แล้ว ปนกลิ่นวนิลา เจืออัลมอลต์นิดๆ ทีผสานกันได้อย่างลงตัวกำลังดี

ด้านสีนั้นออกไปทางทองอำพันสวยงามกำลังเชียวครับ

ด้านรสชาตินั้นกลมกล่อมลงตัวมากๆ ครับ ไม่มีอาการบาดลิ้น บาดคอ เหมือนกับที่อาเจ่กเจ้าประจำที่ผมฝากซื้อบรรยายสรรพคุณไว้
กลิ่นโอ๊กฟุ้งๆ อยู่ในปาก ให้ความรู้สึกที่แปลกดีครับ มีทั้งแห้ง หวานนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ
แต่ทิ้งความรู้สึกที่เรียกว่า Creamy หรือมันๆ ไว้ในปากเล็กน้อย ให้ความรู้สึกที่เต็มดีจริงๆ ครับ

After taste นั้นค่อนข้างยาว ให้ความรู้สึกถึงควันจางๆ (จางมากๆ ชนิดว่าต้องจับให้ดี) ที่ความแห้ง แต่รู้สึกลื่นๆ นิดๆ
ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ครับ กับ Dewar's 18 Yo ขวดนี้ สมกับคำขวัญของ ท่าน Sir Thomas Robert Dewar
ที่ว่า "The qualtiy of the article should be its greatest advertisement"

สรุปสำหรับผมแล้วเจ้า Dewar's 18 Yo ตัวนี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะหามาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านเป็นอย่างยิ่ง
กับรสชาติที่กลมกล่อม หนักแน่นกว่าน้องวัย 12 แต่ไม่มีอาการบาดลิ้น บาดคอ สามารถดื่มแบบ neat ได้เป็นอย่างดี
ถ้าไม่ติดที่ว่าหายากไปนิดในบ้านเรา ก็ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะมีติดบ้านไว้ในวันสบายๆ นั่งจิบไปคุยไปกับเพื่อนรู้ใจได้เป็นอย่างดีเชียวครับ ดื่มชากันดีก่า

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลอง Bunnahabhain 12 Year Old / Old Presentation



....."Bunnahabhain" Single Malt จากเกาะ Islay เป็นหนึ่งในจำนวน 8 โรงกลั่นของเกาะ....ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ (เหมือนอีสานบ้านผมเลยอะ).... โฮ่ๆ
อยู่ตรงช่องแคบตรงกันข้ามกับ เกาะJura......สามารถมองเห็นเกาะ Jura ได้สบายๆ.......เกาะ Jura เป็นเกาะที่มีโรงกลั่นเหล้าอยู่หนึ่งเดียวคือ The Isle Of Jura นั้นเอง...ตัวโรงกลั่น Bunnahabhain ก่อตั้งเมื่อปี 1881...ปัจจุปันเจ้าของคือ Burn Stewart Distillers Ltd. มีเหล้าในเครือที่ดังๆคือ Bunnahabhain, Tobermory, Deanston, Ledaig, Black Bottle, Scottish Leader เป็นต้น

.......ขอออกตัวก่อนว่าผมยังแยกแยะกลิ่นต่างๆในเหล้าออกมาไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ต้องใช้เวลาลองอีกเยอะพอสมควรครับ

.......เริ่มจาก Package ของเหล้า ทำออกมาได้ดีพอควรมีแผ่นพับบรรจุให้ในกล่อง 2 ชิ้นดูดีทีเดียว...Bunnahabhain 12 YO เหล้าขวดนี้ผมได้มาจาก Duty Free ลาวตรงฝั่งหนองคายเหมือนเดิม ที่ราคา 1,100 บาท กับขนาด 0.7L, 40% Vol. ..ตัวนี้ได้รับรางวัล World Whisky Awards 2010 ด้วยนะครับ....... ตัวที่ผมได้มาจะเป็นโฉมเก่ากล่องจะกลม...ตัวโฉมใหม่จะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม ตัวรุ่นใหม่ ดีกรีเพิ่มเป็น 46.3% และ เป็น Non - Chillfiltered และ มี"สีธรรมชาติ"(ไม่มีการเพิ่มคาราเมล)

.......สีของเหล้าจะออก น้ำตาลแดง....ดูจากรูปจะเห็นว่าเข้มกว่า Ardbeg 10 YO กับ Laphrodig 10 YO .......กลิ่น หอมมาก....หอมเนียน....หอมกลิ่นโอ็ค....และมีกลิ่นออกสดชื่นแนวลมทะเลไอทะเล....กลิ่น Alcohol ดุุพอควรปล่อยให้ละเหยออกหน่อยจะดีขึ้น....ที่น่าแปลก...ผิดคาดจากเหล้าจาก Islay จริงๆ...คือไม่ค่อยมีกลิ่นควันเลย.......มีแบบจางๆมากๆแบบต้องแคะออกมาจริงๆถึงจะพอมีบ้าง
...... ดื่มชากันดีก่า สัมผัสลิ้นแรก..รู้สึกได้ถึงความนุ่มเนียน...ดื่มง่าย..รสดีไม่มีสแลง...มีกลิ่นควันตีขึ้นมาพอสมควร...น้อยเมื่อเทียบกับเหล้าจาก Islay ตัวอื่นที่ผมเคยสัมผัสมาคือ...(Ardbeg 10 YO กับ Laphrodig 10 YO).........แต่มากเมื่อเทียบกับเหล้าที่ไม่มีกลิ่นควัน น่าจะพอๆ กับHighland Park 12 YO..แต่แปลกใจตรงที่ตอนดอมกลิ่นไม่ค่อยมีกลิ่นควัน......แต่ตอนดื่มกลับมีควันมาซะนี่...ไม่บาดคอเลย....มีสกิดลิ้นและกระฟุ้งแก้มนิดๆหน่อยๆ...เป็นเหล้าที่มีเนื้อหนังปานกลางไม่ใช้เต็มปาก
เต็มคำแบบพวกFull Body

........Finish อยู่ปานกลางไม่ค่อยยาวเท่าไหร่กลิ่นควันก็หายไปไม่ติดปากติดจมูก..ออกแห้งไม่ฉ่ำ.....แต่ก็ถือว่าจบสวยเหมือนกันไม่ทรมาน...น้ำเย็นตามหวานนิดหน่อยไม่เยอะ

.......ลองเติมน้ำนิดหนึ่ง...ผมใช้ น้ำแร่...... Speyside Glenlivet เป็นชนิด ฟองน้อย....กลิ่น Alcohol น้อยลงแต่กลิ่นของตัวเหล้าก็ Drop ลงตามไปด้วย.....รสชาติออกแนวเปรี้ยวนิดๆ....ไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่.....รสเปรี้ยวเป็นเพราะน้ำแร่มีฟองนั้นเองทำให้มีรสเปรี้ยว (จริงๆแล้วน้ำแร่ชนิดฟองมากก็เหมือนโชดาเลย...แต่ผสมกินกับเหล้านี่อร่อยกว่าโชดาเยอะ...น้ำแร่ที่ลองตอนนั้น คือเจ้า"Perrier" แต่ราคาก็แพงมากไม่คุ้มที่จะใช้แทนโชดาราคาประมาณ70 กว่าบาทได้) ผมว่าถ้าจะเติมน้ำ(นิดเดียว)..ใช้น้ำแร่ไม่มีฟอง หรือพวกน้ำสิงห์น่าจะดีกว่า

......เพื่อความถูกต้อง....เพราะคนเราประสาทสัมผัสแต่ละวันไม่เหมือนกัน.....ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างเช่น สภาพร่างกาย,สภาพจิตใจ, สิ่งแวดล้อม, อื่นๆอีกมากมายเลยขอใช้ Ardbeg 10 YO กับ Laphrodig 10 YO เทียบเคียงดู.....สองตัวนี้ควันมาเลย....คนชอบ ควัน & พีท ไม่ผิดหวัจริงๆ....จากทีลองดมกลิ่นดู...ถ้าไม่นับกลิ่นควันเหล้าทั้งสามตัวมีกลิ่นที่ออกแนวเดียวกันเลยใกล้เคียงกันมากรสชาติของทั้งสองตัวออกเข้มข้นเต็มๆกว่า Bunnahabhain

.....สำหรับท่านที่เป็นแฟนเหล้าจาก Islay อาจจะผิดหวังบ้างเพราะขาดเอกลักษณ์ของเหล้าจากเขต Islay ไปพอควรนั้นคือ Smoke & Peat อาจจะน้อยไปหน่อย...แต่ก็ทดแทนด้วยเหล้าที่รสชาติดี... กลิ่นดี.....ดื่มง่าย....รสชาติไม่รุนแรงเกินไป...ออกเบาๆ....ไม่เปรี้ยว....ผมว่าคุ้มค่าราคาเงินที่จ่ายไปอยู่นะ........

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Bowmore 15 years old MARINER 43%

ช่วงหลังๆ มานี้ผมเกิดหลงกับเหล้าที่มีกลิ่นควัน กับรสชาตจัดจ้านเป็นพิเศษเพราะให้ความรู้สึกที่ไม่ต้องพยายามหา character เยอะแค่เทใส่แก้วหน่อยกลิ่นก็พุ่งมาตรงๆ เลยขอจัด Single Malt สไตย์นี้มาเล่าสู่กันฟังนี้อีกซักขวดต่อเนื่องมาจาก Highland Park เมื่อเดือนที่แล้ว

สำหรับเหล้ายี้ห้อ Bowmore เป็น Whisky จากโรงกลั่นเขต Islay ที่ลือลั่นเรื่องกลิ่นควันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผมเคยอ่านเจอในหนังสือของ Mr.Dominic Roskrow (นักชิม นักเขียน ที่ได้รับการยอมรับจากโรงกลั่นดังๆ มากมาย) เค้าบอกว่าถ้าเปรียบ Lagavulin, Ardbag, Laphroaig เป็นเพลงแนวของวง Maiden, Metallica หรือ Motorhead / Bowmore ก็จะเป็น Bon Jovi ทำให้คิดถึงว่ามันก็แนว Rock ด้วยกันแต่ต่างกันที่ความแรงของทั้งจังหว่ะและเนื้อหาของเพลง สำหรับตัวผมเองยอมรับเลยว่า Bowmore เป็น whisky จากเขต Islay ยี่ห้อแรกที่ผมเคยดื่มช่วงที่เริ่มเข้าสู่สาย Single Malt ใหม่ๆ ด้วยความไม่รู้ภาษาผสมโซดาลงไปแบบที่สมัยนี้ผมคงด่าตัวเองว่าเสียของ แล้วแทบต้องเททิ้งทั้งแก้วด้วยรสชาตที่ไม่ได้ถูกออกแบบให้มาผสมโซดา ทำให้ช่วงนั้น Bowmore เป็นยี่ห้อที่เข็ดขยาดขอลาขาดจากกันไปเลย แต่มาวันนี้ผมรู้แล้วว่าต้องจัดการยังไงจึงไม่รอช้าที่จะจัดหาน้องเค้าเข้าบ้านอีกซักครั้ง


สำหรับรุ่น 15ปี Mariner ขวดนี้ซึ่งชื่อน่าจะเหมาะกับสถานการณ์น้ำท่วงเป็นอย่างดี ซึ่งมีตำนานเล่ามาจากพี่ใน http://www.montfort27.com/forum/index.php?board=22.0 เคยเล่าไว้ว่าเป็นเหล้าที่ถังถูกแช่อยู่ในน้ำในขณะที่โรงบ่มถูกน้ำท่วมจึงเป็นที่มาของชื่อและรสชาตที่เป็นเอกลักษณ์


เริ่มลุยโดยเทเหล้าใส่แก้วทรงดอกทิวลิป(หลังๆ ใช้แก้วนี้บ่อยเพราะแกว่งสนุกมือดีไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ)


Appearance: สีทองเข้มไปทางน้ำตาลอ่อนๆ อยู่ในโทน Tawny ขายาวเล็ก-กลางไหลค่อนข้างช้า
Aroma: กลิ่นควันนำมากลบกลิ่นแอลกอฮอล์ค่อนข้างสนิท และมีกลิ่นเปรี้ยว Lemon ตามมาค่อนข้างชัด


Taste: รสหวานอ่อนๆ มีเค็มกลางๆ เผ็ดลิ้นเล็กน้อย กลิ่นควันหอมกำลังดีมากกว่า Highland Park แต่ไม่ถึง Laphroaig กลิ่น Lemon ชัดมากขึ้น
With Water: รสชาตคล้ายตอนไม่ผสมน้ำ แต่กลิ่นต่างๆ drop ลงไป ความเผ็ดลดลง
Finish: ทิ้งความหวานเล็กน้อยและรสเค็มค่อนข้างชัด กลิ่นควันอบอวลในปากและลำคอยาวกำลังดี




สรุป: รสชาตมาแบบตรงๆ ดื่มได้แบบไม่ต้องคิดมาก แต่เร้าใจ เพราะความเข้มข้นของควันแต่กลับสว่างสดใสด้วยกลิ่น Lemon ส่วน Body ของเหล้าตัวนี้ถ้าเปรียบเป็นสาวก็สาวตัวสูงหุ่นสมส่วนไม่อวบไม่อึ๋มแต่มีเสน่ห์ และวิธีดื่มที่ผมแนะนำคือดื่มแบบไม่ต้องผสมน้ำ เทใส่แก้ว แกว่งเพื่อปลุกน้องเค้าซักนิดก็ใช้ได้เลยครับ หากทิ้งไว้นานหรือผสมน้ำกลิ่นควันจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่ลดความห้าวไปเยอะ บอกตรงๆ เลยว่าผมประทับใจจนอยากจัดไว้เป็นเหล้าสามัญประจำบ้านเลยครับด้วยราคาที่ได้มาและคุณภาพระดับนี้ถือว่าเยี่ยม ขาดแค่แหล่งจัดหาเท่านั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Glenmorangie Burgundy Wood Finish

หลังจากคุณโชคเพื่อนร่วมเวป montfort27.com ได้จัด Glenmorangie Finealta ไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ประกอบกับผมเองก็ห่างๆ จาก Glenmorangie มาประมาณหนึ่ง 
ในวันศุกร์แห่งชาติ ศุกร์แรกของเดือนก่อนเดือนสุดท้ายของปี เลยถือโอกาสจัดเจ้า Burgundy Wood ขวดนี้สักทีครับ
ว่ากันตามประสาลิ้นบ้านๆ เหมือนทุกครั้งไม่รับประกันความถูกต้องเช่นเคยนะครับ

เริ่มกันที่สีก่อน สำหรับเจ้า Glenmorangie Burgundy ขวดนี้สีออกแนวทองอมส้ม ขาหนักขนาดกลางๆ ไหลค่อนข้างช้า

กลิ่นเมื่อรินทิ้งไว้สักพัก(หลังๆ ผมมักจะรินพักไว้ 5-10 นาทีครับ) กลิ่นที่โชยชัดเจนคือกลิ่นของผลไม้รสเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล้าตระกูลนี้ เจือด้วยกลิ่นโอ๊กจางๆ


คราวนี้มาถึงรสชาติกันบ้างครับ จิบแรกนี่...
ผมจับได้ถึงควันจางๆ ไม่มากเบาๆ ตามมาด้วยความหวานซ่อนความเปรี้ยว กลิ่น  Malt วนิลา น้ำผึ้งที่แฝงตามๆ กันมา
เจือด้วยความเผ็ดนิดๆ ของเครื่องเทศจำพวกอบเชย หรือ Cinnamon ที่กลิ่นนั้นขึ้นมาบนโพรงจมูก 
ความแห้งหน่อยๆ ของ Almond จบด้วยความแห้งที่แปลกไปจากเหล้าตระกูลนี้ที่ส่วนใหญ่จะจบด้วยความฉ่ำ
แต่เมื่อตามด้วยน้ำเย็นๆ จะพบกับความหวานที่ค้างอยู่ในปาก อย่างที่อยากให้ยกขึ้นมาจิบ เพื่อสัมผัสถึงความต่างแต่ผสานกันได้อย่างลงตัวครับ


After Taste นั้นค่อนข้างยาวพอประมาณ ความหวานแบบแห้งๆ ที่ให้ความรู้สึกของผลไม้รสเปรี้ยวในหน้าร้อน ยิ่งถ้าได้น้ำเย็นๆ ตามเข้าไปด้วยนี่ชวนให้อยากสัมผัสต่อเพื่อหาความต่างแต่ผสานกันได้อย่างลงตัว

เจ้า Burgundy ขวดนี้สำหรับผมคิดว่าน่าจะเหมาะกับฤดูร้อนมากกว่า หลังเลิกงานที่เสียเหงื่อ และพลังงานไปกับความร้อน
เจ้านี่จะช่วยให้ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี รสสัมผัสที่แตกต่างๆ แต่ก็ผสานกันได้อย่างลงตัว จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และเรียกพลังงานที่เสียไปกลับมาได้เป็นอย่างดีครับ 

Lagavulin 16 Yo One of Classic & Classy Malt Of Scotland

รอบนี้ผมขอเริ่มด้วยรีวิวจากน้องเจ้าของเหล้าที่แบ่งมาให้ผมก่อนก็แล้วกันนะครับ

ประวัติ : Lagavulin ออกเสียงได้ว่า (Laga-voolin) หรือในภาษาGaelic เขียนได้ว่า Laggan Mhouillin แปลได้ว่า "the hollow where the mill is" ครับ

หลายต่อหลายคนเชื่อว่า Lagavulin นั้นเป็นโรงเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในScotland ก่อตั้งขึ้นในปี1816 โดยMr.John Johnston ผู้ซึ่งทำอาชีพเป็นเกษตรกร

การ Review ของผมนั้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองล้วนๆ สามารถใช้เป็นแนวทางได้แต่ไม่สามารถใช้ในการอ้างอิงใดๆได้นะครับผม 


Colour        - เหลืองเข้มๆส้มๆ

Whisky Leg - ใหญ่ครับไหลแบบช้าๆเลยครับ

Nose          - Peat หนักๆแต่กำลังดีครับ ผสมปนเปไปกับกลิ่นพวก Phenol แบ่งเป็นสองส่วนคือ กลิ่นโรงพยาบาลอ่อนๆและยาหม่อง วนแก้วไปมาเพื่อหากลิ่นเพิ่ม
                   พบกลิ่นจำพวกCitrus ครับ ส้มๆเปรี้ยวๆหอมๆ บางทีก็มีมินท์ๆหน่อยๆนะครับ ทุกอย่างผสมกันได้อย่างลงตัวเลยครับผม

Palate         - Peat ในปากจังๆเลยครับ Dry นะครับ แต่ก็รู้สึกมันๆ หวานนิดหน่อยแล้วก็ ไม่มีความเผ็ดเลยครับ

Finish         - ยาวนานครับ แสบเหงือกเลยครับ แต่ก็อร่อยดีครับ

All              - ผมว่าทุกอย่างคลุกเคล้ากันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นและรส ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป มีความหลากหลาย วนแก้วดมไปเพลินดีครับ
                    ถ้าในความรู้สึกผมให้เทียบLaphroaig ,Ardbeg และ Lagavulin 
                    
                    ผมว่า Laphroaig กลิ่นโรงพยาบาลมาก  พีทปานกลางมันๆ มันๆหวานปลายๆ
                           Ardbeg     กลิ่นโรงพยาบาลกลาง พีทปานกลาง มันๆหวานๆ
                           Lagavulin  กลิ่นโรงพยาบาลน้อย พีทมาก กลมกล่อมที่สุด
                    
                    แต่Lagavulin เสียอย่างเดียวครับ ตรงที่หายากเหลือเกินในละแวกบ้านเราครับ  

ที่มา http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=1816.0

ส่วนต่อไปเป็นรีวิวจากมุมมองของผมตามประสาลิ้นบ้านๆ ตาสั่วๆ ไม่รับประกันความถูกต้อง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ 
สำหรับข้อมูลพื้นฐานเจ้าตัวนี้ก็ต้องว่าตามไนท์ แล้วล่ะครับ เพราะผมมีอยู่แต่ขวดแบ่งที่รับมาจากไนท์ ครับ
เริ่มที่กลิ่นก่อนก็แล้วกันนะครับ เพราะพักหลังมานี่ผมชอบรินพักไว้ก่อน 5-10 นาทีครับ เพื่อให้น้อง Lกฮ เขาค่อยๆ จางไปสักหน่อยครับ
เมื่อรินออกจากขวดกลิ่นแรกๆ ที่ได้ก็เหมือนกับที่ไนท์ว่ามาครับ peat นำมาจางๆ ไม่มากเท่าน้องสาหร่ายครับ 
กลิ่นสะอาดๆ ที่เรียกกันว่า Hospital มีเล็กน้อยเจือจางมากครับ มีกลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นมันๆ จำพวกถั่ว แล้วก็กลิ่นมิ้นท์ สดชื่นดีครับ
ทิ้งไว้นานอีกหน่อยจะได้กลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวเจือเพิ่มขึ้นมาอีกนิดครับ


ต่อกันที่สีนั้นออกเหลืองอำพัน หรือ ไนท์บอกว่าเหลืองเข้มๆ ส้มๆ อันนี้เหมือนเป็นคำเมืองอย่างหนึ่งนะครับ บ้านผมเรียกว่าเหลืองอมส้มครับ
ขาหนักไหลเอื่อยๆ ช้าๆ ลงมาเป็นแถบๆ เลยครับ

เพื่อไม่ให้เสียเวลาว่ากันที่รสชาติเลยก็แล้วกันครับ 
กลิ่น peat กำลังดีครับ ไม่เผ็ด แต่มีอาการ burn นิดหน่อย ไม่มีกลิ่นควัน เริ่มที่มัน จบที่ dry คล้ายกับเวลาที่เราสูบบุหรี่หมดม้วน
มันจะรู้สึกแห้งๆ และมีอารมณ์ควันค้าง แบบอ้อยอิ่งอยู่ในปาก 

After taste นั้นอารมณ์ประมาณบุหรี่หมดม้วนพอดีครับ กลิ่นควันจางๆ ค้างอยู่ในปากยาวกำลังดีครับ
ถ้าตามด้วยน้ำเย็นๆ จะได้ความหวานเจือขึ้นมานิดหน่อยครับ


สรุปสำหรับผมแล้วเจ้าตัวนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดีครับ ไม่อยากหนักๆ อย่างน้องสาหร่าย ก็เลือกมาที่เจ้า Lagavulin ขวดนี้ได้เลยครับ
แต่ถ้าหายาก หรืองบสูงไปแนะนำตัว Coal Ila ครับ ราคากำลังดี หาได้ค่อนข้างง่ายครับ