ปล่อยให้คุณเล่งฮู้ชง ออกตัวนำเจ้านี่มาลองไปร่วมปี ผมเพิ่งจะได้รับจากเพื่อนเป็นธุระในการจัดหาให้เข้าสู่รั้วบ้าน
ด้วยค่าตัวไม่ถึงพัน จะสมกับการรอคอยหรือไม่วันนี้เรามาลองกันครับ (ช่วงนี้ถี่จังเนอะ)
ที่มาและที่ไป คุณเล่งฮู้ชง ได้กล่าวถึงไปล่ะ ไม่ขอบรรยาย บรรตาให้มากความ
มาว่ากันในแบบลิ้นบ้านๆ กันเลยดีกว่าครับ
เริ่มที่สีของเหลืองทองใสๆ ตามอายุเหล้าที่ 10 ปี ส่วนใหญ่ที่เจอมักออกแนวทองใสๆ ครับ
ขานั้นจัดว่าค่อนข้างใหญ่ถึงปานกลาง น้ำหนักพอประมาณตามอายุของเหล้า
ด้านกลิ่นนั้นเหมือนกับที่คุณพี่โอบ ได้เคยบอกกล่าวเอาไว้ว่าหอมเหมือนผลไม้ คล้ายแนวทางของ Glenlivet 12 Yo
ด้านรสชาตินั้นจิบแรกที่เข้าไปรู้สึกว่ามันซ่าๆ ด้วยตัวของมันเอง เจือรสเผ็ดนิดๆ
จบด้วยรสหวาน และกลิ่นควันที่ไม่เหมือนกับ Scott Whiskey ครับ
ด้วยความไม่แน่ใจ ขอล้างปากก่อนต่อด้วยจิบที่สอง ผมว่ามันกลมกล่อมดีครับ
กลิ่น peat ที่ไม่เหมือนกับ Scott Whiskey กลิ่นเหม็นเขียวหน่อยๆ จบด้วยความหวานปนขมเล็กน้อย
จนทำให้อดใจไม่ไหวที่จะยกจิบต่อเนื่องกันไป
ด้าน After Taste นั้นจัดว่าไม่สั้น และไม่ยาว ตามสไตล์ของเหล้าอายุ 10 ปี
แต่ก็ทิ้งความหอมไว้ในปาก และลำคอ อย่างอดใจที่จะยกต่อไปไหวจริงๆ ครับ
สรุปแล้ว เจ้า Bushmills ตัวนี้สร้างความประทับใจกับ Irish Whiskey ให้ผมมากยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากได้ลอง Jamesons ไปแล้ว รสชาตินุ่ม เนื้อเหล้าบาง เนียน หอมกลิ่นของผลไม้
เหมาะสำหรับเพื่อการผ่อนคลายในวันหยุด หรือหลังเลิกงานจริงๆ ครับ
พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ
ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ABERLOUR 10 Yo
หลังจากที่ คุณเล่งฮู้ชง เพื่อนร่วมเขียน blog กับผมได้เคยรีวิวไปแล้วครั้งหนึ่ง ผมเองเพิ่งมีโอกาสได้รับเจ้านี่เข้าบ้านเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา จากการรบกวนเพื่อนๆ ในเวปบอร์ด montfort27.com จนได้เจ้านี่มาสมใจ
จริงๆ แล้วผมได้รับคำแนะนำเจ้า Aberlour นี่จากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาเขียน blog และเข้าสู่เส้นทางสาย Single Malt นี้ครับ แรกเริ่มเขาแนะนำให้ผมลองเจ้า Laphroaig ก่อน จนเมื่อผมได้ลองไปแล้วเขาก็บอกว่าให้ไปหาเจ้านี่มาลองต่อ แต่กว่าผมจะหาเจ้านี่มาได้ก็ผ่านมานานเชียวครับ เอาละครับ
เข้าสู่การรีวิวในรูปแบบประจำของผมกันดีกว่าครับ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยทุกครั้งนะครับ
รีวิวแบบบ้านๆ จมูกบ้านๆ และลิ้นบ้านๆ เหมือนทุกครั้งนะครับ
ว่ากันที่สีก่อนนะครับ สีเมื่อตอนที่อยู่ในขวดนั้นออกแนวทองแดงเข้ม
เมื่อรินออกมาสีดูจางลงครับ แต่ก็ยังออกสีทองแดงอยู่ดูสวยเชียวครับ
ต่อกันที่กลิ่นครับ เมื่อรินออกมาแล้วกลิ่นค่อนข้างหอมฟุ้งเหมือนกับที่ คุณเล่งฮู้ชง เคยเขียนไว้ครับ
เริ่มต้นที่จับได้หลังจากรินไว้สักพัก กลิ่นของน้ำผึ้งค่อนข้างเด่น เจือด้วยกลิ่นโอ๊ก และกลิ่นควันจางๆ ครับ
ในส่วนของขานั้นค่อนข้างเล็ก แต่ดูแล้วหนักพอประมาณครับ
ต่อกันที่รสชาติครับ จิบแรกนั้นผมว่ามันให้รสชาติที่แปลกใหม่ดีครับ ไม่เหมือนตัวอื่นๆ ที่ผ่านมา
เหมือนเจอเพื่อนใหม่แต่ก็คุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็ว จนอยากสัมผัสอีกสักครั้งครับ
รสชาตินั้นค่อนข้างเต็มเหมือนกับที่ คุณเล่งฮู้ชง เขียนไว้ หวานนิดๆ ขมหน่อยๆ เหมือนกับที่เขาว่าหวานจนขมอ่ะครับ
กลิ่นจางๆ ของโอ๊กที่ค้างอยู่ในปาก ความมันแบบแห้งๆ คือเหมือนกับจะมัน แต่ก็แห้ง ไปอย่างรวดเร็ว
ไม่เหมือนกับ Bushmills ที่มันค้างติดริมฝีปาก (ขอยกยอดไปรอบหน้าครับ คราวก่อนร่างกายไม่พร้อมครับ)
กลิ่นและรสเหมือนน้ำผึ้งที่ค้างอยู่ในคอ สมกับที่เพื่อนผมชวนให้หามาลองจริงๆ ครับ
ด้าน After นั้นจัดว่าระดับกลางๆ ครับ มีความหวานส่งท้าย เจือด้วยกลิ่น และรสคล้ายน้ำผึ้งค้างอยู่ในปากและลำคอครับ จนต้องอดที่จะยกขึ้นมาจิบอย่างต่อเนื่องไม่ได้จริงๆ ครับ
สำหรับผมแล้วตัวนี้ต้องจัดว่าคุ้มค่าเกินราคาที่ได้มาครับ
ยิ่งมีแสตมป์ไทยด้วยแล้วกับค่าตัวที่ไม่ถึงพัน ยิ่งเกินคุ้มครับ
เหมาะสำหรับเวลาชิวๆ นั่งฟังเพลงสบายๆ หลังอาหารได้กำลังดีเชียวครับ
ข้อเสียที่พบ ด้วยความหวานที่มีในเหล้า กับความหอมที่ค้างในลำคอ
จนอดที่จะยกแก้วอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ผมว่ามันชวนให้ขึ้นเร็วไปนิดหนึ่งครับ
จริงๆ แล้วผมได้รับคำแนะนำเจ้า Aberlour นี่จากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาเขียน blog และเข้าสู่เส้นทางสาย Single Malt นี้ครับ แรกเริ่มเขาแนะนำให้ผมลองเจ้า Laphroaig ก่อน จนเมื่อผมได้ลองไปแล้วเขาก็บอกว่าให้ไปหาเจ้านี่มาลองต่อ แต่กว่าผมจะหาเจ้านี่มาได้ก็ผ่านมานานเชียวครับ เอาละครับ
เข้าสู่การรีวิวในรูปแบบประจำของผมกันดีกว่าครับ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยทุกครั้งนะครับ
รีวิวแบบบ้านๆ จมูกบ้านๆ และลิ้นบ้านๆ เหมือนทุกครั้งนะครับ
ว่ากันที่สีก่อนนะครับ สีเมื่อตอนที่อยู่ในขวดนั้นออกแนวทองแดงเข้ม
เมื่อรินออกมาสีดูจางลงครับ แต่ก็ยังออกสีทองแดงอยู่ดูสวยเชียวครับ
ต่อกันที่กลิ่นครับ เมื่อรินออกมาแล้วกลิ่นค่อนข้างหอมฟุ้งเหมือนกับที่ คุณเล่งฮู้ชง เคยเขียนไว้ครับ
เริ่มต้นที่จับได้หลังจากรินไว้สักพัก กลิ่นของน้ำผึ้งค่อนข้างเด่น เจือด้วยกลิ่นโอ๊ก และกลิ่นควันจางๆ ครับ
ในส่วนของขานั้นค่อนข้างเล็ก แต่ดูแล้วหนักพอประมาณครับ
ต่อกันที่รสชาติครับ จิบแรกนั้นผมว่ามันให้รสชาติที่แปลกใหม่ดีครับ ไม่เหมือนตัวอื่นๆ ที่ผ่านมา
เหมือนเจอเพื่อนใหม่แต่ก็คุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็ว จนอยากสัมผัสอีกสักครั้งครับ
รสชาตินั้นค่อนข้างเต็มเหมือนกับที่ คุณเล่งฮู้ชง เขียนไว้ หวานนิดๆ ขมหน่อยๆ เหมือนกับที่เขาว่าหวานจนขมอ่ะครับ
กลิ่นจางๆ ของโอ๊กที่ค้างอยู่ในปาก ความมันแบบแห้งๆ คือเหมือนกับจะมัน แต่ก็แห้ง ไปอย่างรวดเร็ว
ไม่เหมือนกับ Bushmills ที่มันค้างติดริมฝีปาก (ขอยกยอดไปรอบหน้าครับ คราวก่อนร่างกายไม่พร้อมครับ)
กลิ่นและรสเหมือนน้ำผึ้งที่ค้างอยู่ในคอ สมกับที่เพื่อนผมชวนให้หามาลองจริงๆ ครับ
ด้าน After นั้นจัดว่าระดับกลางๆ ครับ มีความหวานส่งท้าย เจือด้วยกลิ่น และรสคล้ายน้ำผึ้งค้างอยู่ในปากและลำคอครับ จนต้องอดที่จะยกขึ้นมาจิบอย่างต่อเนื่องไม่ได้จริงๆ ครับ
สำหรับผมแล้วตัวนี้ต้องจัดว่าคุ้มค่าเกินราคาที่ได้มาครับ
ยิ่งมีแสตมป์ไทยด้วยแล้วกับค่าตัวที่ไม่ถึงพัน ยิ่งเกินคุ้มครับ
เหมาะสำหรับเวลาชิวๆ นั่งฟังเพลงสบายๆ หลังอาหารได้กำลังดีเชียวครับ
ข้อเสียที่พบ ด้วยความหวานที่มีในเหล้า กับความหอมที่ค้างในลำคอ
จนอดที่จะยกแก้วอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ผมว่ามันชวนให้ขึ้นเร็วไปนิดหนึ่งครับ
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
The Black Grouse V.S. JW Black
จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผมคิดว่าทั้งคู่น่าจะมีรสชาติใกล้เคียงกัน จึงน่าจะเอามาลองทดสอบเปรียบเทียบกันดูเพื่อความกระจ่างโดยทางฝั่ง JW Black มีเหล้าจากหลากหลายโรงกลั่นผสมปนเปกันอยู่ นำมาโดย Lagavulin, Talisker, Montlack, Glendullan, Caol Ila, Cameronbridge มีแต่ตัวโหดๆ ทั้งนั้น ทางฝั่ง The Black Grouse ก็ไม่น้อยหน้า ใช้เหล้าจากโรงกลั่นภายใต้สังกัด ได้แก่ The Macallan, Highland Park และส่วนผสม whisky จาก Islay เพื่อเพิ่มความเข้มข้น เจ้านกดำตัวนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
เปิดประเดิมที่บักจอร์นก้าวย่างก่อน สีออกน้ำตาล ขาใหญ่หนัก กลิ่นไม้โอ๊ค วนิลานำโด่ออกมา ไม่รอช้าผมตวัดใส่ปากไป กลิ่นวนิลาเด่น มีรสหวานมันน้ำผึ้งเข้มข้นและมีกลิ่นควันที่ดูสุขุมแต่นุ่มลึก กลืนลงไปก็ไหลลงไปแบบลื่นๆ ทิ้งรสหวานและกลิ่นควันอ่อนๆ ไว้ในปากและลำคอ
ต่อด้วยนกกระปูดดำ แรกเริ่มดูสีออกน้ำตาล คล้ายของบักจอร์น แต่ขาเล็กยาว ลองดมดูหน่อย โอ้โห...... นี่มันกลิ่นควันชัดๆ มาแบบเต็มๆ ยกดื่มดูกลิ่นควันนำเด่น มีรสหวานอ่อนๆ ให้ความสดชื่นแบบซ่าๆ อย่างประหลาด ส่วนตอนจบก็ทิ้งกลิ่นควันไว้ในปากและลำคอ
สรุป ผมว่า The Black Grouse มีกลิ่นควันที่เข้มข้นเฉพาะตัว(คล้าย Highland Park12 ซึ่งผมจะเอาไปลองเทียบกันดูอีกที) ถ้าคนไม่ชอบควันก็ปิดประตูสำหรับตัวนี้ไปได้เลยแต่ถ้าใครเป็นพวก Smoky Lover ผมบอกได้เลยว่านี่คือสวรรค์ของคุณด้วยคุณภาพและราคาระดับนี้ แต่อาจจะลำบากหน่อยที่การจัดหา ส่วน JW Black มีความสมดุลที่ดีมีรสชาติหวานมัน กลิ่นถังไม้โอ๊คแน่น และกลิ่นควันอ่อนๆ ลงตัวมาก ดื่มง่ายไม่ว่าจะผสมกับอะไรก็สามารถปรับให้เข้าได้หมด ยิ่งถ้าคิดในแง่ของ whisky จากโรงกลั่นที่เอามา Blended แล้วแต่ละตัวไม่ใช่ระดับที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเรา ดังนั้นมวยคู่นี้ผมว่ามีดีต่างกันให้คนละอารมณ์ แต่ในแง่ความคุ้มและผมเป็นพวกเทไปทางควันผมให้ The Black Grouse นำไปก่อน 1 แต้มครับ
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
JURA : TASTE ISLAND LIFE :
ห่างหายจากการรีวิว ไปนานครับเนื่องจากเก็บของเก่ายังไม่หมด
จริงๆ แล้วเปิดลองเจ้านี่ไปได้สอง-สามครั้งแล้วครับ แต่ยังไม่มีอารมณ์รีวิวเท่าไหร่ครับ
สัญญากับคุณตือว่าจะเอาเจ้านี่มาลองหลังจากกลับจาก กทม. ผ่านมาเกือบเดือนก็ขอเริ่มในแบบลิ้นบ้านๆ
ไม่รับรองความถูกต้องเหมือนเช่นเคยนะครับ
เจ้านี่เรียกตัวเองว่า Taste Island Life หรือว่าแปลอย่างงูๆ ปลาๆ ก็ได้ความว่า ดื่มด่ำกับวิถีชีวิตของเกาะ Jura
ซึ่งมีร้านค้าอยู่เพียงร้านเดียว ผับอยู่เพียงผับเดียว ชุมชนเล็กๆ หนึ่งชุมชน และโรงกลั่น malt ประจำเกาะเพียงโรงเดียว
อะไรมันจะโดดเดี่ยวได้ขนาดนั้น....
เริ่มที่สีก่อนครับ ออกแนวทองแดงเข้มๆ นิดๆ ครับ กับอายุเพียงแค่ 10 ปี
ถือว่าถังที่ใช้น่าจะใหม่พอควรทำให้ได้สีที่เข้มครับ ในส่วนของขานั้นถือว่าทำได้ดีครับ หนัก ใหญ่ ไหลช้าพอประมาณ
ต่อกันด้วยเรื่องของกลิ่น มีความสดชื่น สมคำบรรยายจริงๆ ครับ กลิ่นคล้ายผลไม้ เจือด้วยกลิ่นอากาศบริสุทธิ์
กลิ่น peat ที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล้าจาก Isle ก็พอมีให้ได้กลิ่นอยู่บ้างครับ
แต่ไม่มีกลิ่นโรงพยาบาลเหมือนเจ้า Laphroaig นะครับ แบบนี้ทำให้หลงรักได้ง่ายกว่าเยอะครับ
ยิ่งเปิดแล้วเททิ้งไว้สักพักกลิ่นยิ่งอวล ชวนให้อยากลองเร็วๆ เชียวครับ
ต่อกันที่ขาถือว่าทำได้ดีครับ หนัก ใหญ่ ไหลช้าพอประมาณ
ต่อกันที่รสชาติบ้างดีกว่าครับ เจ้านี่ถือว่าดื่มง่ายครับ ไม่มีกลิ่นควันเหมือน Laphroaig
อาจทำให้เพื่อนสมาชิกหลายคนที่หลงรักกลิ่นควันผิดหวังได้ครับ
กลิ่น peat บางๆ เจือด้วยความสดชื่น และความหวานปนเค็มนิดๆ (งงมั๊ยครับเนี๊ยะ) แต่มันได้อย่างนั้นจริงๆ ครับ
ชวนให้หลงเสน่ห์เกาะ แห่งนี้ได้ไม่อยากเย็นเลยครับ
ด้าน After taste นั้นจัดว่ากลางๆ ครับ ยาวพอประมาณ ยิ่งถ้าได้น้ำเย็นๆ ปิดท้ายนี่หวานยาวเชียวครับ
กลิ่นอโรม่าที่ค้างอยู่ในปาก สำหรับผมแล้วแบบ neat นี่ลงตัวแบบไม่ต้องไปลองแบบอื่นให้เสียเวลาเลยครับ
สมกับเป็นเกาะสวรรค์จริงๆ ครับ
สรุปแล้วเจ้านี่เหมาะ สำหรับผู้ที่อยากลองเข้าสู่ SM จากสาย Isle หรือ Islay ครับ
ด้วยความที่รสชาติไม่ห่างจากสาย Highland กับ Speyside สักเท่าไหร่
แต่ก็มีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ครับ
ในเรื่องของกลิ่น peat กับกลิ่นควันจางๆ ถึงเบามากๆ (ชนิดที่ว่าต้องซ้ำหลายๆ ครั้งกว่าจะจับได้บ้าง)
ส่วนตัวผมนั้นต้องคอยเบรคตัวเองแล้วครับ เพราะเจ้านี่ลื่นเชียวครับ
อีกทั้งแต่ละครั้งที่ยกจิบ มักจะได้รสชาติแฝงมากขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้หลงรักเจ้า JURA นี่เข้าแล้วล่ะครับ
จริงๆ แล้วเปิดลองเจ้านี่ไปได้สอง-สามครั้งแล้วครับ แต่ยังไม่มีอารมณ์รีวิวเท่าไหร่ครับ
สัญญากับคุณตือว่าจะเอาเจ้านี่มาลองหลังจากกลับจาก กทม. ผ่านมาเกือบเดือนก็ขอเริ่มในแบบลิ้นบ้านๆ
ไม่รับรองความถูกต้องเหมือนเช่นเคยนะครับ
เจ้านี่เรียกตัวเองว่า Taste Island Life หรือว่าแปลอย่างงูๆ ปลาๆ ก็ได้ความว่า ดื่มด่ำกับวิถีชีวิตของเกาะ Jura
ซึ่งมีร้านค้าอยู่เพียงร้านเดียว ผับอยู่เพียงผับเดียว ชุมชนเล็กๆ หนึ่งชุมชน และโรงกลั่น malt ประจำเกาะเพียงโรงเดียว
อะไรมันจะโดดเดี่ยวได้ขนาดนั้น....
เริ่มที่สีก่อนครับ ออกแนวทองแดงเข้มๆ นิดๆ ครับ กับอายุเพียงแค่ 10 ปี
ถือว่าถังที่ใช้น่าจะใหม่พอควรทำให้ได้สีที่เข้มครับ ในส่วนของขานั้นถือว่าทำได้ดีครับ หนัก ใหญ่ ไหลช้าพอประมาณ
ต่อกันด้วยเรื่องของกลิ่น มีความสดชื่น สมคำบรรยายจริงๆ ครับ กลิ่นคล้ายผลไม้ เจือด้วยกลิ่นอากาศบริสุทธิ์
กลิ่น peat ที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล้าจาก Isle ก็พอมีให้ได้กลิ่นอยู่บ้างครับ
แต่ไม่มีกลิ่นโรงพยาบาลเหมือนเจ้า Laphroaig นะครับ แบบนี้ทำให้หลงรักได้ง่ายกว่าเยอะครับ
ยิ่งเปิดแล้วเททิ้งไว้สักพักกลิ่นยิ่งอวล ชวนให้อยากลองเร็วๆ เชียวครับ
ต่อกันที่ขาถือว่าทำได้ดีครับ หนัก ใหญ่ ไหลช้าพอประมาณ
ต่อกันที่รสชาติบ้างดีกว่าครับ เจ้านี่ถือว่าดื่มง่ายครับ ไม่มีกลิ่นควันเหมือน Laphroaig
อาจทำให้เพื่อนสมาชิกหลายคนที่หลงรักกลิ่นควันผิดหวังได้ครับ
กลิ่น peat บางๆ เจือด้วยความสดชื่น และความหวานปนเค็มนิดๆ (งงมั๊ยครับเนี๊ยะ) แต่มันได้อย่างนั้นจริงๆ ครับ
ชวนให้หลงเสน่ห์เกาะ แห่งนี้ได้ไม่อยากเย็นเลยครับ
ด้าน After taste นั้นจัดว่ากลางๆ ครับ ยาวพอประมาณ ยิ่งถ้าได้น้ำเย็นๆ ปิดท้ายนี่หวานยาวเชียวครับ
กลิ่นอโรม่าที่ค้างอยู่ในปาก สำหรับผมแล้วแบบ neat นี่ลงตัวแบบไม่ต้องไปลองแบบอื่นให้เสียเวลาเลยครับ
สมกับเป็นเกาะสวรรค์จริงๆ ครับ
สรุปแล้วเจ้านี่เหมาะ สำหรับผู้ที่อยากลองเข้าสู่ SM จากสาย Isle หรือ Islay ครับ
ด้วยความที่รสชาติไม่ห่างจากสาย Highland กับ Speyside สักเท่าไหร่
แต่ก็มีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ครับ
ในเรื่องของกลิ่น peat กับกลิ่นควันจางๆ ถึงเบามากๆ (ชนิดที่ว่าต้องซ้ำหลายๆ ครั้งกว่าจะจับได้บ้าง)
ส่วนตัวผมนั้นต้องคอยเบรคตัวเองแล้วครับ เพราะเจ้านี่ลื่นเชียวครับ
อีกทั้งแต่ละครั้งที่ยกจิบ มักจะได้รสชาติแฝงมากขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้หลงรักเจ้า JURA นี่เข้าแล้วล่ะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)