พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

The Macallan Quest Collection




เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเทสวิสกี้ชุดใหม่ล่าสุดของ  Macallan เป็นชุดที่วางจำหน่ายเฉพาะตลาด Travel retail พูดง่ายๆ ก็คือจำหน่ายตาม Duty Free นั่นแหละคือซัก 4-5 ปีมานี้หลายๆ แบรนด์เริ่มที่จะแบ่งแยกรุ่นที่ขายในตลาดปกติและตลาด Travel retail ออกจากกันอย่างชัดเจนเพื่อให้เกิดความหลากหลายของสินค้ามากขึ้นและทำให้ราคาของทั้ง 2 ตลาดไม่ขัดกันเอง โดย Collection ใหม่นี้มาในนาม The Quest Collection ประกอบด้วยกัน 4 ตัวได้แก่ Quest, Lumina, Terra และ Enigma โดยจุดเด่นของชุดนี้เป็นการเล่นกับถังที่ใช้บ่มวิสกี้

 Quest (การค้นหา, แสวงหา) 40% ใช้ bourbon casks, sherry-seasoned European oak casks, sherry-seasoned American oak casks และ hogsheads  – กลิ่นนำเด่นมาแนวผลไม้เปรี้ยวบางๆ สัมผัสเผ็ดรสชาติเปลือกส้ม อบเชย ใบกระวาน เข้าใจได้ง่าย Body ค่อนข้างจะ Light จบ Dry ไม่ซับซ้อน

Lumina (แสง) 41.3% ใช้ sherry-seasoned European oak casks, sherry-seasoned American oak casks และ hogsheads – ยังคงแนวผลไม้เปรี้ยว แทรงกลิ่นวนิลา สัมผัสเผ็ดรสชาติยังคงมีเปลือกส้ม อบเชย จันแปดกลีบ Body กลางๆ จบ Dry และกลิ่นเปลือกส้ม เม็ดผักชี

Terra (ดิน) 43.8% ใช้ sherry-seasoned European oak casks, sherry-seasoned American oak casks – Dry Fruit นำมากับกลิ่นคลาเมลจางๆ และ สัมผัสเผ็ดนิดๆ มี creamy รสชาติ แอปเปิ้ลแห้ง ส้มแห้ง อบเชย ชะเอม Body มากกว่า 2 ตัวแรก จบยาวขึ้น แต่ยังมีความเผ็ดและกลิ่นผลไม้เปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์

Enigma (?) 44.9% ใช้ sherry-seasoned European oak casks  - กลิ่น Dry Fruit นำมี chocolate จางๆ สัมผัสเผ็ดเล็กน้อย มีความหนาแน่น รสชาติ อยู่ในกลุ่มผลไม้เปรี้ยว แต่มีสมุนไพร เม็ดผัดชี อบเชย ลูกจันทร์ ขิง น้ำผึ้ง Body หนากำลังดี จบยาวกลิ่นวนิลา น้ำผึ้งและยังมีความเผ็ดให้นึกถึงกลิ่นที่ผ่านมา

ในความรู้สึกของผมทั้ง 4 ตัว เน้นไปทางสาย sherry cask ที่มีความเผ็ดและรสชาติของผลไม้เปรี้ยว และสมุนไพรชนิดต่าง ทำให้ย้อนนึกไปถึง The Macallan ในสมัยก่อน เป็นแนวที่ Classic มาก ก่อนที่จะเป็นสาย bourbon cask กลิ่นวนิลา จัดๆ Body หนาๆ ซึ่งทั้ง 4 ตัวทำออกมาไล่โทนได้ดีมากค่อยๆ ไล่จากบาง ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นมาเรื่อยๆ  การค้นหาในครั้งนี้เหมือนจะจบ แต่ก็ยังทิ้งปริศนาไว้อีก


แถมท้าย Oscuro (ความมืดมิด) 46.5% - กลิ่นนำเด่นมาด้วย Dark Chocolate แอบซ่อนกลิ่นแอลกอฮอล์ได้อย่างมีชั้นเชิง สัมผัสเผ็ดนิดๆ แต่เนียน อัดแน่นมาด้วยผลไม้แห้งที่มาทั้งสวน Body ใหญ่โต จบลากยาวๆ โดยส่วนตัวด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของผมมันคือปลายเชือกของสาย Sherry cask ที่ไม่เน้นความ นุ่ม แลกกับรสชาติที่ซับซ้อนดุจระเบิดที่ทิ้งลงไปแล้วทุกอย่างที่อยู่ในปากมันหายไปเลยเหลือแต่กลิ่นและความฉ่ำร้อนไร้ซึ่งควันที่ทำให้ภาพไม่ชัดเจน ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นเพราะคุณอาจจะไม่เข้าใจมันและมานั่งเสียดายตังค์ในความมืดมิด

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Hennessy V.S.O.P. Privilege 200th Anniversary Limited Edition


 
จำได้ว่าครั้งเดียวที่ผมริวีวคอนยัคต้องย้อนไปตั้งแต่ก่อนจะทำเพจ เป็นตัว Hennessy V.S. ครั้งนั้นก็รีวิวแต่รสชาติ มาคราวนี้ทาง LVMH กรุณาส่งตัวใหม่ล่าสุด Hennessy V.S.O.P. Privilege 200th Anniversary Limited Edition มาให้รีวิวก็ขออนุญาตลงสาระหน่อยครับ

จากความทรงจำของผมในสมัยที่ยังดื่มอย่างเดียวเรียกทุกอย่างที่ดื่มแล้วเมาว่าเหล้า ไม่เคยลืมรสชาติที่หอม หวาน นุ่ม อย่าง X.O. ได้เลยส่วนยี่ห้อก็นั่นแหละ Hennessy แต่สมันนั้นก็แพงเหลือเกินไม่เหมาะกับกระเป๋ามนุษย์เงินเดือนซักเท่าไหร่จึงไม่มีโอกาสได้สัมผัสลิ้นบ่อยนัก พอมาตอนนี้สนใจหาข้อมูลก็อ๋อ...มันนุ่ม มันหวาน ต่างกับวิสกี้เพราะมันเป็นเหล้าคนละประเภทกัน

Hennessy เป็นเหล้าประเภทที่เรียกว่า คอนยัค (Cognac) วิธีการผลิตที่เข้าใจง่ายๆ คือนำองุ่นไปหมักสิ่งที่ได้ออกมาคล้ายไวน์แล้วนำไปกลั่นด้วยหม้อทองแดง ต่อด้วยการนำบ่มต่อในถังไม้โอ๊คในระยะเวลา 2 ปีขึ้นไปและนำไป Blend ก่อนจะบรรจุขวดก็จะได้เครื่องดื่มที่ชื่อว่าบรั่นดี (Brandy) แต่จะเรียกว่าคอนยัคได้ก็ต่อเมื่อผลิตที่จังหวัดชาร็องต์ ประเทศฝรั่งเศสเท่านั้นเพราะถือเป็นแหล่งที่มีผลผลิตคุณภาพสูง โดยแบ่งระดับคุณภาพแบ่งได้ 3 ระดับใหญ่คือ V.S., V.S.O.P. และ X.O. ตามลำดับ ซึ่งผมมองว่าเป็นการแบ่งลักษณะรสชาติไปในตัว

สำหรับ Hennessy V.S.O.P. Privilege 200th Anniversary Limited Edition ถูกผลิตออกมาเพื่อที่จะระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 200ปีที่แล้ว เมื่อเดือนมีนาคมปี 1818 บุตรของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (หรือสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 ในอีก 2 ปีต่อมา) ได้มีรับสั่งให้ James Hennessy นำเสนอเครื่องดื่มคุณภาพสูง จนได้รับมาซึ่งชื่ออันเป็นตำนานของ Hennessy V.S.O.P. Privilege โดยตัว 200th Anniversary Limited Edition ออกแบบขวดและฉลากทำย้อนยุคไปเป็นรูปแบบในสมัยนั้น บรรจุมาในกล่องโลหะสวยงามคล้ายเป็น Time Capsule มีสีทองแดงสื่อถึงหอกลั่น พร้อมหูหิ้วหนังแข็งแรงบนฝากล่องจารึกลายเอกสารแสดงความต้องการจากบุตรของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แต่ที่ผมแปลกใจสุดๆ คิดไม่ถึงคือเปิดฝามากลิ่นหอมฟุ้งตีขึ้นมาคิดว่าเหล้ารั่วที่ไหนได้ ฝากล่องด้านในใช้ไม้เป็นวัสดุล๊อคขวดซึ่งทำจากไม้โอ๊ควัสดุเดียวกับที่ใช้ทำถังบ่ม Hennessy ชอบมากคิดไงยังไง และแล้วก็มาถึงรสชาติ

Appearance: สีน้ำตาลสนิม ขากลางๆ
 
Aroma: กลิ่นวนิลา โอ๊ค ติดผลไม้เปรี้ยว และเครื่องเทศ
 
Taste: รสหวานกลาง สัมผัสเบาๆ เผ็ดเล็กน้อย กลิ่นผลไม้คล้ายองุ่นและไวน์ขาว โอ๊ค วนิลาชัดเจน น้ำผึ้งแทรกมาและมีกลิ่นเครื่องเทศคล้ายใบกระวาน
 
With Water: ความหวาน และหอมกลิ่นโอ๊คชัดเจน สัมผัสเบามากๆ รู้สึกสดชื่น
 
Finish: ทิ้งรสหวานไว้เล็กน้อย กลิ่นโอ๊ค และเครื่องเทศค้างอยู่ในปาก ไม่ยาวมาก

สรุป : Hennessy V.S.O.P. ถือว่าเป็นคอนยัคที่มีมาตรฐานเพราะสามารถให้ได้ครบทั้งรสชาติและสัมผัสที่ V.S.O.P. ควรจะมี หากจะเปรียบรสชาติเป็นมวยในรุ่นเดียวกันคือถ้าไม่น๊อคเขาก็ต้องมีลากกันไปจนหมดขวดกว่าจะรู้เรื่อง ส่วนตัวผมได้ลองดื่มด่ำ Hennessy V.S.O.P. ทั้งคืนทั้ง Neat, ผสมน้ำ, on the rock, ใส่โซดา คือไปได้ทุกแนวแบบชิวๆ ครับ และสำหรับคนบ้าทดลองจุดที่มองข้ามไม่ได้คือฝากล่องมันน่าแกะไปบ่มเหล้าต่อจริงๆ จะซื้อก็ตรงฝานี่แหละ

ขอขอบคุณ : LVMH
Credit ภาพ : Chavish's Photography
#แอดมินตือ #Hennessy

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Phraya (พระยา)

สวัสดีพี่น้อง นานๆ จะมีรีวิวสักที วันนี้ขอนำเสนอ Phraya (พระยา) สุราขวดสวยงามจากค่าย Thaibev ซึ่งผมเห็นวางจำหน่ายใน Duty free มาได้พักใหญ่ๆ หละครับ แต่เพิ่งทราบว่ามีจัดจำหน่ายในประเทศแล้ว จากข้อมูลเวปไซด์ผู้ผลิตผมขอตีความว่าเป็นรัมที่ทำจากกากน้ำตาลอ้อยที่บ่มในถังไม้โอ๊คประมาณ 5-8 ปีและนำมาผสมกับพวกสมุนไพรและเครื่องเทศเพื่อให้ได้รสชาติตามที่ผู้ผลิตออกแบบไว้



มาอธิบายเรื่องกากน้ำตาลอ้อยก่อนคนที่ได้ยินครั้งแรกอาจจะรู้สึก...เพราะแค่ชื่อก็กากแล้ว แต่ในความเป็นจริงกากน้ำตาล หรือโมลาส (Molasses) เป็นวัตถุดิบที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหารอย่างมาก เช่นที่เรากินกันแทบจะทุกวันอย่างซีอิ๊วดำ น้ำส้มสายชู รวมถึงเบียร์บางชนิดอีกด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็นสุราชนิดรัมนี่แหละ ซึ่งตัวพระยาเองเลือกที่จะบ่มรัมในถังไม้โอ๊ค 5-8ปีทำให้ได้ Golden Rum สีทองบรรจุมาในขวดที่มีโลหะสีทองประดับดูหรูหราเข้ากันดี มาว่าที่ส่วนของรสชาติดีกว่า

Appearance: สีทองเหลืองไปส้ม ขาเล็กยาวไหลเร็ว
Aroma: กลิ่นเลูกเกต ลูกพรุน พุทราจีน มีน้ำผึ้งนิดๆ
Taste: เผ็ดนำ บอดี้บางๆ มีกลิ่นบ๊วย
With Water: สัมผัสนุ่มขึ้นมาพร้อมรสชาติที่จืดขึ้น กลิ่นที่ได้ยังเหมือนเดิม
Finish: เผ็ด Dry เหลือกลิ่นบ๊วย และมินท์ไว้เล็กน้อย

สรุป: ตอนแรกเลยผมคิดว่าเอาแสงโสมมาเปลี่ยนขวดหรือป่าว แต่จากที่ชิมบอกเลยว่าไม่ใช่แน่นอน พระยามีกลิ่นและรสชาติที่ชัดเจนทั้งกลิ่นผลไม้ต่างๆ และรสสัมผัสที่ไม่เผ็ดมาก ส่วนการได้ลองชิมมาหลายๆ แบบตัวผมเองชอบแบบ Neat มากที่สุดเพราะเนื้อรัมค่อนข้างจะบาง พอเอาไปผสมโซดา หรือ On the rock รสชาติเปลี่ยนไปเยอะโดนกลบหมดชูความเด่นของโซดาหรือน้ำแข็งแทน และถ้าเอาไปทำ cocktail น่าจะเหมาะกับรสเปรี้ยวที่ช่วยชูความเด่นของกลิ่นออกผลไม้

ขอบคุณภาพสวยๆ จาก Chavish's Photography​

#แอดมินตือ


วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

Hibiki Japanese Harmony 40% Alc/Vol.

Hibiki N.A.S. จากค่าย Suntory เท่าที่ทราบน่าจะออกมาด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นครับ

1. Hibiki Japanese Harmony วางขายทั่วไป
2. Hibiki Japanese Harmony Master Select วางขายเฉพาะใน duty free บางประเทศ
3. Hibiki Deep Harmony 2017 Limited Edition วางขายเฉพาะในญี่ปุ่น (เหมือนผีได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่ค่อยมีใครได้เจอตัวเป็นๆ)

Hibiki นั้นถูก Blended ขึ้นครั้งแรกในปี 1989 เพื่อเป็นการฉลองครบรอบโรงกลั่นของ Suntory อายุครบ 90 ปี
การออกแบบขวด ฉลาก และการใช้สีถูกวางแนวคิดเพื่อส่งต่อวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น เรียกว่าใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างก็ว่าได้
ขวดถูกออกแบบให้มี 24 เหลี่ยม เพื่อสื่อถึงฤดูกาลต่างๆ ทั้ง 24 ฤดูของญี่ปุ่น
ฉลากใช้กระดาษสาที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการแบบโบราณ
บริเวณคอขวดใช้สีม่วง ที่เป็นสีที่จะใช้ได้เฉพาะชนชั้นสูงของญี่ปุ่นในสมัยโบราณ เพราะหายากมาก

ข้อมูลคร่าวๆ ก็มีตามนี้ครับ คราวนี้เราก็จะว่ากันตามลิ้นบ้านๆ กันต่อครับ

เริ่มกันที่สี ทองออกแนวทองแดงอยู่พอควร

กลิ่น น้ำผึ้ง เมเปิ้ลไซรัป แม้จะเป็น N.A.S. แต่กลิ่นตัวน้องแอลก็ค่อนข้างน้อยแต่ก็แหลมแยงจมูกให้พอรู้ว่ามีนะ

รสชาติ  Oak ควันเบาๆ หวาน Toffee caramel รวมๆแล้วจัดว่าค่อนข้างดี และคุ้มค่าเลยกับความเป็น Hibiki N.A.S.

Aftertaste ค่อนข้างสั้นไปสักหน่อย แต่ก็ชวนให้ยกต่อเพื่อค้นหาและทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆ

Conclusion จัดว่าคุ้มค่าในราคาที่ได้จาก Duty Free หรือจากญี่ปุ่น แต่ถ้าราคาในบ้านเราแล้วจัดว่าแรงไปสักหน่อย
ราคาเดียวกันอาจหา SM. ดีๆ ได้ 1-2 ขวดเลยก็ว่าได้ แต๋ก็ยังถูกว่า 12-17-21 ที่เห็นราคาขายในบ้านเราแล้วนึกว่า 1 เยน = 1 บาท
จิบแบบเพียวได้ ผสมก็คงดี จิบยาวๆ ในวันสบายๆ หรือเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากภาระกิจประจำวันก็ได้สบายๆ

ป.ล. 1. ความเห็นที่ให้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ

ป.ล. 2. งานดองเหมือนเดิมบันทึกการลองไว้เมื่อวันที่ 11-2-2561

Cutty Sark Storm 40% Alc/Vol.

สำหรับ Cutty Sark Black ขวดนี้จัดเป็น Blended Whisky อีกตัวจากค่าย Cutty Sark
ข้างกล่องระบุถึง Malt Whisky 2 ตัวที่นำมาเป็นส่วนผสมหลัก คือ Highland Park กับ Macallan คุ้นๆ ไหมครับ
สองตัวนี้ก็เป็นส่วนผสมหลักของ Blended Whisky ของอีกเจ้าที่คุ้นเคยกับนักดื่มบ้านเรา ก็คือ Famous Grouse ไงครับ
ถ้าจะเทียบในความเป็นแนวสายควันก็คงต้องไปเทียบกับตัว Black Grouse จากค่าย Famous Grouse กัน่
ส่วนของ Grain Whisky นั้นไม่ได้ระบุถึง ข้อมูลเบี้องต้นคร่าวๆ ก็ประมาณนี้
ว่าแล้วเรามาลองเล่ากันแบบประสาลิ้นบ้านๆ กันดีกว่าครับ

สี ทองอำพันออกแนวเหลืองทองเข้ม เหมือนพวกทองโบราณ

กลิ่น กลิ่นตัวน้องแอลค่อนข้างแหลมพอประมาณ มะละกอสุก Citrus นิดๆ กลิ่นส่าเหล้าเจือขึ้นมาพอประมาณ
กลิ่นแบบนี้เมื่อเทียบส่วนผสมหลักที่ใช้ Malt Whisky จากแหล่งเดียวกันแล้ว ในเรื่องกลิ่นผมชอบกลิ่นของ Black Grouse มากกว่า

รสชาติ กลิ่น Oak นำมาชัดเจน ควันเบาๆ ลักษณะค่อนไปทาง Highland Park มากกว่า Macallan ตามด้วยความหวานของคาราเมลไหม้
รวมๆ ถือว่าสมดุลย์ค่อนข้างดีพอใช้ ถ้าเอาไปทำ Cocktail น่าจะเหมาะกว่าดื่มแบบ Neat หรือผสม

Aftertaste ค่อนข้างสั้น ทิ้งควันไม้ไหม้จางๆๆๆๆ ไว้ในปากพอประมาณ กับความหวานขมของคาราเมลไหม้

Conclusion น่าจะเหมาะสำหรับทำ Cocktail มากกว่า แต่จะจิบแบบ Neat ก็พอได้อยู่ระดับหนึ่ง ผสมนี่อย่าเลยน่าจะจืดและเปลืองเหล้าอยู่

ป.ล. ความเห็นที่ให้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ

งานดองเขียนไว้เมื่อ 9-2-2561

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

Johnnie Walker Double Black 40% Vol/Alc.

สำหรับ JWDB ออกสู่ตลาดครั้งแรกในช่วงปลายปี 2010 ในช่วงแรกนั้นออกมาเป็น Limited Edition ขายเฉพาะใน Duty Free เท่านั้น
แต่ในช่วงต้นปี 2011 เริ่มมีเข้ามาจำหน่ายในตลาดทั่วไปมากขึ้น แต่ก็ยังเป็น Limited Edition เหมือนกับเป็นการทดลองตลาดไปด้วย
ใน Lot หลังๆ ก็ตัดคำว่า limited edition ออกไปกลายเป็นรุ่นจำหน่ายทั่วไปลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้
Double Black ชื่อก็คงบอกได้ระดับหนึ่งว่ามีความเข้มข้นมากกว่าตัว Black Label ตัวปกติแน่นอน

คหสต. จากที่ได้ลองมาตั้งแต่ยังเป็น Limited Edition ผมชอบรุ่นแรกๆ มากกว่า รู้สึกว่ากลิ่นควันชัดเจนกว่า และมีความเข้มข้นมากกว่า
ให้สัมผัสรวมๆ ที่ดีกว่าโฉมปัจจุบันอยู่พอควร

ว่าแล้วมาลองเล่ากันตามประสาลิ้นบ้านๆ ดีกว่าครับ

สี ออกแนวทองแดงเข้มต่างจากตัว Black Label ที่ออกทองใสๆ

กลิ่น โดยรวมแล้ว อโรม่าจัดว่าดีงาม citrus วนิลา น้ำผึ้ง ควันจางๆ แต่ชัดเจนกว่าตัว BL เจือด้วยกลิ่นหวานๆ ของไซรัป

รสชาติ เผ็ดนำ หวานตาม ฝุ่นนิดๆ ขี้เถ้าหน่อยๆ ควันไม้ไหม้บางๆ จัดว่าเข้มข้นกว่า BL ระดับหนึ่ง

Aftertaste ค่อนข้างยาว ทิ้งความเผ็ดเบาๆ ฉ่ำๆ ในปาก ความหวานบนปลายลิ้น ควันบางๆ ไว้ในปากค่อนข้างยาว
คหสต. DB มีความเป็น malty มากกว่า Grain นิดหน่อยครับ

Conclusion จิบแบบเพียวน่าจะเป็นความลงตัวที่ดีที่สุดในการดื่ม JWDB ขวดนี้
รสชาติจัดว่าดี สำหรับขวดนี้ผมเปิดทิ้งไว้มาค่อนข้างนานทำให้ดื่มง่ายพอควรครับ

ป.ล. ความเห็นที่ให้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ