พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

Johnnie Walker Blue Label

ภาวะเหล้าแห้งในบ้านทำให้เข้าสู่ภาวะจำยอม ต้องขุดเจ้าขวดนี้ขึ้นมาดื่มจนได้ครับ จิ้มมม
เหล้าบ้านนายใหญ่หมดไปเมื่อหลายวันก่อน มองในตู้เห็นเจ้าขวดนี้อายุตั้งแต่ปี 2549 ผ่านเข้ามา 6 ปี
เกรงว่าคุณภาพมันจะไปซ่ะก่อน แล้วจะเจอภาวะเหมือนกับเจ้า Glen Elgin ที่ทำเอาเข็ด เลยตัดใจเปิดซ่ะเลยดีกว่า 

ว่าแล้วก็มาเริ่มกันตามสไตล์ลิ้นบ้านๆ กันเลยก็แล้วกันครับ
เริ่มกันที่สีก่อนก็แล้วกันครับ ออกไปทางทองอำพันดูแล้วสบายตาดีครับ ขานั้นค่อนข้างหนืดไหลช้าลงมาพร้อมๆ กันเลยเชียวครับ


ด้านกลิ่นนั้นผมว่ามันก็หอมดีอยู่ครับ แต่....  มันไม่ไหลมาเรื่อยๆ เหมือนกับพวก SM ครับ 
รินทิ้งไว้ตั้งนานมันยังไม่ยอมมาเตะจมูกผมสักทีอ่ะ   หรือว่าจมูกผมจะโดนควันสุดฮิตที่ลอยอยู่เต็มน่านฟ้าเมืองเชียงใหม่เล่นงานจนเพี้ยนไปแล้วอ่ะ ตายดีก่า

ยกขึ้นมาดมจ่อๆ ถึงได้กลิ่นแนวทางของ Highland เจือด้วยกลิ่นแห้งๆ ของ Speyside คละๆ กันอยู่ครับ
แต่กลิ่นที่ชัดสำหรับผมคือกลิ่นของโอ๊ก กับ Malt ที่ค่อนข้างชัดครับ ตามด้วยกลิ่นวนิลา กับกลิ่นเปรี้ยวนิดๆ ของ Citrus
ผมว่ามันยังมีกลิ่นของน้อง L ด้วยอ่ะครับถ้าเทียบกับ SM หลายตัวที่อยู่ 10 ปีนี่บางตัวแทบไม่มีกลิ่นน้อง L เลยอ่ะครับ โบ๋ววว


รวมๆ ผมว่ามันก็คงประมาณนี้ครับสำหรับเหล้า Blended High-end ขวดนี้ 


คราวนี้มาว่ากันที่รสชาติกันต่อดีกว่าครับ

อืม... จิบแรกรู้สึกได้ถึงความอุ่น ที่ให้ความรู้สึกว่ายินดีต้อนรับ ตามด้วยความหวานนำ จนรู้สึกได้ถึงคำว่าหวานขมนิดๆ 
ลื่นแต่ให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนอยู่ในที burn นิดๆ แต่ไม่มากให้สัมผัสถึงความเปรี้ยวนิด หวานหน่อยที่ผสานกันได้อย่างลงตัว
เนื้อไม่แน่นมากเหมือนกับ SM แต่ก็ประทับใจดี ไม่ผิดหวังครับสำหรับ High-end Blended Whisky ขวดนี้ 
ดีกว่าเจ้า Ballantine's 21 Yo เยอะเชียวครับ จบด้วยความแห้งนิดๆ ควันจางๆ ฉ่ำหน่อยๆ ตบท้ายด้วยน้ำเย็นๆ นี่เยี่ยมไปเลยครับ


สรุปแล้วสำหรับผม เจ้า JW Blue Label ขวดนี้คุ้มค่าสมราคาครับ แต่ถ้าบ่อยๆ คงไม่ไหวครับ
ถึงจะเป็นค่าตัวที่ได้จาก Duty Free ก็เถอะครับ  เก็บไว้ดื่มในโอกาสสำคัญๆ ดีกว่าครับ
ประทับใจกับรสชาติที่ยกดื่มแต่ละครั้งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ 
บางทีได้อโรม่าหอมๆ เหมือน Highland SM 
บางครั้งก็ให้ความรู้สึกแห้งหน่อยๆ ตอนจบเหมือนกับเหล้าจาก Speyside
บางคราวกลับให้กลิ่นควันนิดๆ จากถิ่น Islay รวมๆ แล้วประทับใจดีครับ
แต่.... ด้วยค่าตัวค่อนข้างสูงทั้งในบ้านเรา และตาม Duty Free 
ผมแนะนำว่าจับ SM รุ่นยอดนิยมน่าจะดีกว่าสำหรับคนงบน้อยนะครับ 
แต่ถ้าในโอกาสพิเศษ หรือเพื่อสักครั้งในชีวิตว่าจะสัมผัสกับ High-end Blended Whisky ดีๆ สักตัวผมว่าไม่ควรพลาดกับเจ้า JW Blue Label ขวดนี้ครับ
แนะนำว่าให้หาซื้อ Premium Package ที่มีครบทั้งสี่สีของ JW ก็ได้ครับเพื่อเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าสำหรับคนงบน้อยครับ
เพราะคุณจะได้ลอง Black Green Gold(รุ่นเก่า) Blue ครบทั้งสี่ในราคาประมาณ สองพันกลางๆ ถึงปลายๆ จากตาม Duty Free นะครับ

ปล. 1. ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยนะครับ
ผิดพลาดประการใดขอรับไว้เพียงลำพังครับ 

ปล. 2. ขอบคุณไนท์ด้วยครับ สำหรับแก้วสวยๆ Blue Label อุปกรณ์ประกอบฉากครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น