สวัสดีครับ มิตรรักชมรมมักเหล้าคลับ ทุกท่าน ห่างหายไปนานครับ กับรีวิวลิ้นบ้านๆ
เนื่องด้วยภาระอิดมากมายครับ พักนี้งานเข้าค่อนข้างเยอะ ประกอบกับเก็บของเก่ายังไม่หมด ของใหม่ก็ค่อยจะมีเข้าบ้านเลยครับ
ตอนแรกว่าจะรอต้นเดือนหน้าให้ได้รับ Dewar's 18 Yo ที่รอคอยก่อน แต่นานไปครับ
ประกอบกับเหล้าที่แบ่งไปบ้านนายใหญ่งวดใกล้หมดแล้ว ที่เปิดค้างไว้ก็เป็นแนวควันล้วนๆ เกรงว่าท่านจะรับไม่ไหว
เลยลัดคิวจัด Glengoyne 17 Yo ขวดนี้ที่เพิ่งจัดมาจากริมปิง เมื่อสองอาทิตย์ก่อนดีกว่าครับ
สำหรับเจ้านี่อ่านออกเสียงยากอีกแล้วครับ พอผลิกไปข้างหลังกล่องก็อ่านได้ว่า "Glen Guin" ครับ
แปลแบบอังกฤษเป็นอังกฤษได้ว่า "Glen of the wild geese" ประมาณภาษาไทยเราก็คือ "หุบเขาห่านป่า" นั่นแหละครับ
เช่นเคยครับ ตามประสาลิ้นบ้านๆ จมูกมั่วๆ และความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ
ไม่รับประกันความถูกต้องนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะครับ
เริ่มกันทีสีเหมือนทุกครั้ง สำหรับเจ้า Glengoyne ขวดนี้สีค่อนข้างเข้มออกแนวทองอมแดงๆ ด้วยอายุ และการบ่ม
สำหรับ malt ที่นำมาใช้ทำ Glengoyne ขวดนี้อ้างว่าเป็น malt ที่ได้จากการตากแห้ง ไม่ผ่านการอบทำให้ไม่มีกลิ่นของ peat
น่าจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบควัน และกลิ่น peat นะครับ เพราะระหว่างที่รินออกมาผมว่ามันหอมสดชื่น เจืออโรม่าดีครับ
และกลิ่น Lกฮ แทบไม่มีเลยก็ว่าได้ครับ เนียนเชียวครับ
ในส่วนของขานั้นจัดว่าใหญ่และหนัก ไหลช้ามากๆ ครับ
ขนาดวนแก้วแล้ววางตั้งไว้ต้องรอพักใหญ่ๆ ขาถึงจะค่อยๆ ไหลลงมาครับ
ด้านกลิ่นนั้น แทบไม่มีกลิ่นของ Lกฮ มากระทบให้แสบจมูกเลยครับ กลิ่นของโอ๊ก และ Malt ชัดเจนมากครับ
เจือด้วยกลิ่นอ่อนๆ ของผลไม้รสเปรี้ยว (citrus) อีกกลิ่นที่เด่นก็เป็น cinnamon กับน้ำผึ้งครับ
น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบแนวหวานๆ ครับ รวมๆ แล้วผมว่า กลิ่นมันให้ความสดชื่นดีครับ
คราวนี้ก็มาว่ากันที่รสชาติบ้างครับ
จิบแรกที่เข้าไป นุ่มละมุ่นกำลังดีครับ กลิ่นเหมือนพวกผลไม้ตากแห้งในที่ร่ม มีรสหวานติดปลายลิ้น
มันเหมือนกับมีความแห้ง แต่ก็ไม่แห้งจนรู้สึกว่าปากแห้ง แฝงความฉ่ำอยู่ในที
ทิ้งกลิ่นเหมือน almond อบแห้ง กับ macadamia มันๆ เอาไว้ ประทับใจดีครับ เจ้านี่ชักวางไม่ลงแล้วสิครับ
พอดีผม มี macadamia อบเกลือติดไว้ในตู้เย็น เอามาแกล้ม พบว่าเข้ากันได้ดีเชียวครับ
ด้าน After นั้นจัดว่ากำลังดีครับ ยาวพอประมาณ ทิ้งความฉ่ำปนแห้งไว้กำลังดี
ยิ่งถ้าได้คู่กับ macadamia นี่แหล่มเชียวครับ ได้ความมัน เพิ่มมาด้วย
ใครไม่ชอบควันเจ้านี้เป็นคำตอบที่ดีได้เลยครับ ติดอยู่ที่ราคาอาจสูงไปนิดครับ แต่รับรองได้ว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
สำหรับเจ้า Glengoyne ขวดนี้แนะนำว่าถ้าไม่เกี่ยงเรื่องค่าตัวก็น่าเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านได้ดีเชียวครับ
เหมาะในวันว่างๆ อยากจิบเบาๆ แกล้ม macadamia หรือตระกูลถั่วตัวอื่นๆ ก็ไม่ว่ากันครับ
พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ
ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
Lagavulin 12y@Highlander Singapore
ตามที่กระผมได้ไปสำรวจแหล่งจัดหาที่สิงคโปร์โดยมีโคต้าว่าจะจัดหนักๆ มาซักตัวแต่เอาเข้าจริงแต่ละร้านนี่มันไกลเหลือเกิน ทางผบ.ทบ.เลยลงอาญาให้ไปได้ร้านเดียวซึ่งเป็นร้านที่ใกล้ที่สุดแต่แพงที่สุดร้าน Highlander ตั้งอยู่ใกล้กับ MRT สถานี Clarke Quay (รอบๆ บริเวณมีร้านอาหารและผับ บาร์มากมาย ราคาก็ดุๆ ทั้งนั้น)
ไปถึงหน้าร้านก็...อึ๊งครับ เหล้าเต็มตู้ เปิดเมนูมาไปกันใหญ่ของดีๆ และของหายากมีเพียบ แต่เห็นราคาก็ถึงขั้นหนาวเหน็บ
ผมจัด Lagavulin 12 Year Old ตัวนี้เป็น Cask strength ราคาแก้วละ 25$สิงค์โป++ เรื่องดีกรีก็ไม่ต้องห่วงทะลวง50ปลายๆ แน่นอน เสริฟร์มาในแก้เย็นๆ พร้อมน้ำแข็ง1แก้ว กับน้ำแร่ Fiji อีกขวด(ท่านผบ.ฯ บอกว่าราคาเกือบ7ร้อยได้มาแค่เนี่ย...ถ้าท่านสังเกตุดีๆ จะเห็นเหล้าติดอยู่ก้นแก้วหน่อยนึง )
สี: เนื่องจากบรรยากาศมืดไปหน่อยสีเลยไม่ชัด มองโดยรวมออกเหลืองเข้ม แต่ใสคล้าย Ardbag10y
ขา: ขากลางไหลช้า...อันนี้ผมไม่ขอแกว่ง กลัวระเหยหมด แต่แค่พนักงานเอามาตั้งก็เห็นขาแล้วครับ
ดม: กลิ่นควันลอยมาเลยครับแต่ไม่มีกลิ่นโรงพยาบาล เป็นกลิ่นควันและ Peatyที่แน่นๆ ผสมกับกลิ่นพวกผลไม้แห้งคล้ายลูกเกต ไม่เลี้ยนวนิลา หรือโอ๊ค
เอาใส่ปาก:.... ลิ้นแทบขาดดีกรีมันแรงไปหน่อย เลยต้องใส่น้ำซักนิด...ได้รสหวาน,กลิ่นควันสไตย์ Laphroaig เลยครับต่างตรงที่ไม่ใช่แนวสดชื่นแบบเหม็นเขียว แต่จะฉ่ำคล้ายFruit cake และแถมกลิ่น Malt สวยมากครับไม่มันเลี้ยนด้วย ดื่มง่ายกว่า Laphroaig
สิ้นสุดการเดินทาง: ทิ้งกลิ่นควันและ Malt บวกความหวานแบบตรงๆ แถมอาการชาลิ้นนิดๆ ยาวถึงยาวมาก
สรุป: หลังจากผมได้ชิมมาหลายตัวจนเริ่มคุ้นลิ้น Lagavulin ทำให้ผมได้เจอเหล้าอีกสไตย์นึง ถ้าติดที่ราคาไม่แพง(ร้านนี้ขายแบบขวด444$++ คูณเป็นเงินไทยก็เป็นหมื่นครับ ) ควรจัดเข้าบ้านอย่างยิ่งทั้งกลิ่นทั้งรสสมดุลดีมากครับแถมfinishยังยาวแบบไม่เปลืองเหล้าเอาเป็นว่าไอ้แก้วเล็กๆ เนี่ยผมยกอยู่เกือบชั่วโมงเพราะจิบแค่นิดเดียวกลิ่นมันอบอวนอยู่ได้นานครับ โดยรวมผมประทับใจครับ
Dewar's White Label 40%
วันนี้ขอนำเสนอ Dewar's White Label ครับเนื่องจากได้มีโอกาสไปรับน้องที่สถาบันและได้งบมาจากเพื่อนๆ ในรุ่นให้จัดเหล้าราคากลางๆ ไม่เกิน 700 บาทซักตัวก็เลยคิดว่าเจ้านี่น่าจะโอเคเพราะผมเองก็ไม่เคยกินบวกราคาประมาณนี้ได้ขวดลิตรแถมมีตังค์ทอนก็น่าลองอยู่ครับ
สำหรับ Dewar's เป็น Blended Scott's Whisky ที่อยู่ในเครือน้ำเมาระดับโลกอย่าง Bacardi โดยมีโรงกลั่น Aberfeldy เป็นหัวใจหลัก(Heart of Dewar's White Label เป็นหลักประกันข้างขวด Aberfeldy 12ปี)
Appearance: สี,ขา...สังเกตุตามรูปเลยครับ(เนื่องจากหิวเหล้าเลยไม่สนใจ)
Aroma: ออกแนวน้ำผึ้ง วนิลา อัลมอล Oak แรงพอสมควร
Taste: รสหวานนุ่มมีอาการburnลิ้นนิดหน่อย กลิ่นวนิลานำเด่นมันเลี้ยน
With Water: หวานฉ่ำ นุ่มๆ กลิ่นวนิลาบางลง
Finish: หวานวนิลา แต่ไม่ยาว ออกไปทางสั้นถึงกลาง
สรุป: ใครชอบแนวกลิ่นวนิลาหวานรสน้ำผึ้ง(แต่ไม่เปรี้ยว)ก็ถือว่าใช้ได้เลยครับ ความรู้สึกผมว่าตัวนี้จะมีรสชาตใกล้เคียงกับBenmore ต่างกันตรงที่มีกลิ่นฉุนไม่รุนแรงสมดุลเข้มข้นกำลังดีใครมีงบกลางๆ ชอบความเลี้ยนก็จัดมาเลยครับถ้าชอบยกแบบเพียวๆ กลิ่นอาจจะฉุนไปหน่อยแนะนำผสมสังสรรค์กับเพื่อนๆ จะสนุกกว่าครับ แต่ถ้าติดที่งบผมว่า Benmore พอจะทดแทนกันได้ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)