วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Talisker 10 Years Old VS Laphroaig
เริ่มที่สีนั้น สีของ Talisker ออกทองอำพันเจือแดง แต่ Laphroaig ออกแนวทองใสๆ ครับถือว่าเป็นความแตกต่างที่ได้มาจากถังที่ใช้บ่มครับ
ด้านขาและเนื้อเหล้านั้นสูสีไม่ต่างกันเท่าไหร่ต่างฝ่ายต่างหนาและหนักพอๆ กัน ยกนี้เสมอกันครับ
มาต่อกันที่กลิ่น ว่าที่ของ Laphroaig เลยก็แล้วกันนะครับ
กลิ่นโรงพยาบาลชัดเจน เจือด้วยกลิ่นสาหร่าย และไอทะเล คล้ายกันครับแต่ Talisker ไม่มีกลิ่นโรงพยาบาล
ยกนี้ด้วยความชอบส่วนตัวในกลิ่นสะอาดๆ ขอเลือกให้น้องสาหร่ายชนะไปครับ
เริ่มที่ Laphroaig ก่อนนะครับ เพราะ Talisker จัดไปก่อนแล้ว
ไม่ผิดหวังเหมือนเช่นเคย ความแตกต่างบนความลงตัวเหมือนทุกครั้ง
ความหอมของ Peat ที่เจือกลิ่นความสะอาด
ทิ้งค้างความหอมของควันที่มากกว่าไว้นานกว่า
ล้างปากแล้วต่อเนื่องด้วย Talisker กันเลยครับ เหมือนกับจืดไปเลยครับ
เมื่อเทียบกันแบบตัวต่อตัวแล้ว ยกนี้ขอยกให้ Laphroaig ชนะไปด้วยความเข้มและความหนักแน่นเช่นเดียวกันครับ
สรุปสำหรับเจ้าสองตัวนี้ผมของเลือก Laphroaig ด้วยความชอบส่วนตัวครับ
กลิ่นกับรสชาติที่แตกต่าง แต่ผสานกันได้อย่างลงตัว คราวหน้าจะขอจัดเทียบกันแบบ 1 ต่อ 1 สามตัว
กับ Coal Ila VS Talisker and Laphroaig โปรดติดตามได้ที่นี่ เร็วๆนี้ครับ
ปล. ข้อคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ จากลิ้นบ้านๆ ไม่ขอรับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยนะครับ
Talisker 10 Years Old
ตามประสาลิ้นบ้านๆ เหมือนเช่นเคย และอาศัยข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากเล่งฮู้เฮียและคุณเบนที่ได้ลองมาก่อนหน้าแล้ว
ว่ากันที่สีของ Talisker ขวดนี้ออกสีทองอำพันค่อนไปทางแดง ไม่ใช่ทองใสๆ
เนื้อของเหล้านั้นจัดว่าค่อนข้างหนักขาใหญ่ไหลช้า
ต่อกันที่กลิ่นอย่างที่เล่งฮู้เฮียและคุณเบนว่าไว้ ครับกลิ่นควันนำ คล้าย Laphroaig แต่ไม่มีกลิ่นโรงพยาบาล
มีกลิ่นสดชื่นคล้ายกลิ่นไอทะเลหน่อยๆ เจือด้วยกลิ่นของผลไม้รสเปรี้ยว กับกลิ่นของสมุนไพรหอมๆ จำพวกมิ้นต์ครับ
ว่ากันที่รสชาติกันต่อเลยก็แล้วกันครับ จิบแรกที่เข้าไปรู้สึกขมนิดหน่อย
ตามมาด้วยรสและกลิ่นควันที่คล้ายแต่ก็ต่างอยู่ในทีกับ Laphroaig
จบด้วยความรู้สึกที่ร้อนๆ นิดๆ เผ็ดหน่อยๆ ทิ้งกลิ่นควันไว้ในปาก พอประมาณ
แต่ปริมาณกลิ่นไม่มากเหมือน Laphroaig คงต่อเอามาเทียบกันดีกว่าครับ
จบท้ายด้วยกลิ่นควันที่ค้างในปาก แต่ไม่เข้มเท่า Laphroaig
ให้ความรู้สึกที่แห้ง ไม่ฉ่ำเหมือน Laphroaig แต่เพื่อความแน่นอน เดี๋ยวขอ Test ซ้ำคู่กับ Laphroaig ครับ
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
OLD PULTENEY 12year olds 40%
คืนนี้ขอนำเสนอ OLD PULTENEY 12ปี ที่เคยเอาไปเทสกันตอน meeting ซึ่งคืนนั้นลองแล้วก็พอจะเข้าใจว่าเป็นเหล้าที่มีสัมผัสอ่อนนุ่ม กลิ่นไม่แรง แต่เพื่อความชัวร์ต้องเอามาซ้ำซะหน่อย ที่มาของโรงกลั่นนี้ใครจะเชื่อว่ากลุ่มของเสี่ยเจริญเบียร์ช้างมีหุ้นอยู่ แต่น่าเสียดายที่แทบจะไม่มีให้เห็นในเมืองไทยเลย โดยเจ้านี่การันตีด้วยรางวัลจาก WWA
เทเหล้าใส่แก้ว(The Glencairn Glass เพิ่งได้มาก็ขอใช้หน่อย)
Appearance: ดูสีซักนิด ออกสีทองอ่อนๆ ไปเหลือง ขาเล็กยาวไหลเร็วกลางๆ
Aroma: กลิ่นแอลฯ ค่อนข้างมาก จึงขอเติมน้ำซักหน่อย เพื่อกลิ่นที่ชัดเจนขึ้น กลิ่นออกแนวหอมหวานผลไม้อ่อนๆ
Taste: รสหวานนุ่มๆ มีกลิ่นผลไม้คล้ายแตงโมอ่อนๆ ผสมๆ กับกลิ่นคล้ายน้ำเกลือ
Finish: จบแบบหายไปเลย นั่งเฉยๆ ซัก 5นาทีรู้สึกเค็มๆ ปากแปลกดีครับ
สรุป: ตัวนี้มีกลิ่นผลไม้อ่อนๆ ไม่หวาน รสนุ่มกลิ่นไม่แรงมาเร็วจบเร็ว ถ้าคนชอบแนวนี้ก็พอได้ ใกล้เคียง The Glenlivet 12 ปี แต่อ่อนกว่าพอสมควรที่แปลกคือหลังดื่มแล้วกลับรู้สึกเค็มในปาก ดื่มได้แบบชิวๆ ไม่ต้องลุ้นเยอะเหมือน Malt ที่มาจาก Islay
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Ardbeg TEN Year Old
.......เปิดขวด จุกไม้ก็อกทำได้แน่นหนาดีมีความฝืดพอดีเลย........เมื่อรินใส่แก้วผิดคาดครับเนืองจากขวดเป็นสีเขียวเข้มทำให้ไม่ทราบ สีที่แท้จริงของเหล้าคิดว่าเหล้าน่าจะสีเข็มแต่...สีออกเหลืองทองอ่อนๆ สวยงามทีเดียว
........กลิ่น หลังจากรินใส่แก้วทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที สูดดมแก้วแรกสัมผัสถึงกลิ่น Alcohol พอประมาณ อาจเป็นเพราะเหล้าอายุ 10 ปี หรือผมสูดดมกลิ่นเร็วไปหน่อย หลังจากพ้นไปมีกลิ่นควันตามมา ตามด้วยกลิ่น โอ๊ค หอมดีเลยละครับสำหรับผม เพราะผมชอบแนวกลิ่นแนวนี้ มีกลิ่น โรงพยาบาลอยู่จางๆพอสัมผัสได้บ้าง...พยายามดมหากลิ่น Peatอยู่...เมื่อเทียบกับ Laphroaig แล้วกลิ่นควัน จะน้อยกว่าแต่จะหอมกว่า
........พอยกขึ้นดื่มคำแรก ไม่ค่อยขมเท่าไหร่ ไหลลงคอมีรสเผ็ดนิดๆ ทิ้งความซ่ากัดทีปลายลิ้น และกระพุ้งแก้ม มีกลิ่นควันตีขึ้นมา เยอะกว่าตอนดมอีกครับ รู้สึกเต็มปากตามคำ
.........After ทิ้งรสไว้ในปากนานพอสมควรเลยละครับ พอดื่มน้ำเย็นๆตาม จะมีรสหวานนิดๆตามมา หลังจากลองแก้วที่ สอง ผ่านไปเกือบ 15 นาที ยังมีกลิ่นควันติดตามปากอยู่เลยครับ
.......สรุป.... เยี่ยมครับสำหรับผม เหมาะสำหรับท่านที่เคยลอง Laphroaig มาแล้วกลิ่นแรงไป เจ้า Ardbeg กลิ่นควันน้อยกว่า แต่จะได้ความหอมมากกว่า และกลิ่นควันของ Laphroaig จะออกแนวไส้กอกรมควันมากไป.....เจ้า Ardbeg ยังเต็มปากเต็มคำกำลังดีด้วยครับ.......แต่เนื่องจากผมยังไม่ค่อยชำนาญในเริ่อง Testing เท่าไหร่ คงอ้างอิงอะไรไม่ได้....ต้องลองเองครับ
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Jameson Gold Reserve
ขอเลือกเป็น Jameson Gold Reserve ตามคำเรียกร้องของเพื่อนสมาชิกหลายท่านครับ
วันของเลือกใช้แก้ว 3 ชนิดครับ แก้ว Shot สำหรับตวง ที่เหลือก็อย่างที่รู้กันครับ
เริ่มกันที่สีเช่นเคยครับ เนื่องจากขวดเป็นสีเขียวเข้มทำให้มองสีของเหล้าไม่ออก
แต่เมื่อรินออกมานั้นสีจัดเป็นแนวสีทองแดงแบบอำพันมากกว่าสีเหลืองทองครับ
เนื้อเหล้านั้นจัดว่าค่อนข้างเบาครับ แกว่งลื่น ขาเล็ก ไหลเร็วครับ
ต่อกันที่กลิ่น กลิ่นเมื่อรินออกจากขวดใหม่ๆ นั้น น้อง Alc ค่อนข้างแรงมากครับ
ทิ้งไว้สักพัก ได้กลิ่นโอ๊กค่อนข้างแรงชัดเจนมากๆ ครับ ต่อด้วยกลิ่นของผลไม้รสเปรี้ยว
เจือด้วยกลิ่นวนิลา และช็อคโกแลตหน่อยๆ ครับ
ต่อกันที่รสชาติครับ ความเข้มข้นนั้นมากกว่าตัว Jameson ธรรมดาเยอะครับ
แต่สามารถดื่มแบบ Neat ได้สบายๆ ครับ มีอาการ burn ของ alc พอประมาณครับ
ตามด้วยกลิ่นของโอ๊กที่ชัดมากๆ ครับ น่าจะเป็น Sherry Oak จากกลิ่น สี และรสเผ็ดนิดๆ ที่เป็นเอกลักษณ์
ความหวาน ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่ขมนิดหน่อย ไม่มาก เหมือนกับว่าน่าจะเป็นแนวหวานจนขมครับ
มีความมัน และฉ่ำเล็กน้อย แต่ไม่ฉ่ำยาวเหมือน Glenmorangie Nectar d'or
แต่ก็ทิ้งความมันและความรู้สึกลื่นๆ อยู่บนลิ้นครับ ตามด้วยการจิบน้ำตามเล็กน้อยให้ความรู้สึกที่หวานมากขี้นนิดหน่อย
ด้าน After Taste นั้นจัดว่ายาวกำลังดีครับ ไม่มากไม่น้อย
สรุปเลยแล้วกันครับ เจ้านี่เหมาะสำหรับจิบเพื่อผ่อนคลาย ไว้เปลี่ยนบรรยากาศ มากกว่าจิบยาวครับ
เพราะเมื่อผ่านแก้วที่สองไปแล้วจะให้ความรู้สึกเลี่ยนๆ ครับ กับกลิ่นโอ๊กที่ค่อนข้างมากจนเกินพอดีครับ
ปล. ความเห็นทุกอย่างเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวเหมือนทุกครั้ง
ไม่รับประกันความถูกต้องกับลิ้นบ้านๆ อย่างผมนะครับ ถ้ามีโอกาสหามาลองเพื่อให้ได้ความหลากหลายก็ดีครับ
แต่ถ้าจะให้จัดเป็นเหล้าสามัญประจำบ้าน ขอถอยกลับไปหาตัว Jameson ธรรมดาดีกว่าครับ