พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Glenfiddich 18 YO

ขอเลือก Glenfiddich 18 YO ตัวนี้มาส่งท้ายเดือนแห่งความรักปี 2554 นี้นะครับ
รีวิวผมเป็นแบบบ้านๆ ตามความรู้สึกเหมือนเช่นเคยนะครับ ผิดถูกอย่างไรไม่ขอรับประกันความถูกต้องเหมือนทุกครั้งครับ 
เริ่มต้นกันที่สีก่อนเหมือนเช่นเคยครับ
สีนั้นทองออกเข้มๆ เจือไปทางทองแดงมากว่าทองใสๆ ตามอายุของการหมักบ่มที่ทำให้สีของเหล้าเข้มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

เมื่อวนแก้วเพื่อดูขานั้น เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นขาของเหล้าไหลในลักษณะแบบนี้ครับ
มันไหลช้ามากๆ ครับ ไหลพร้อมกันลงมาทั้งแผง แบบต้องทิ้งไว้พักใหญ่ๆ กว่าเหล้าจะไหลจนเห็นขาครับ
จัดเป็นเหล้าที่ผ่านการหมักบ่มมาอย่างดี จนได้ขาเหล้าที่ใหญ่และหนักแบบนี้ครับ



มาต่อกันที่กลิ่นนั้น แทบไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ความหอมฟุ้งพุ่งขึ้นมาตั้งแต่เปิดขวดเลยเชียวครับ
กลิ่นแนวอโรม่า เจือด้วยกลิ่นผลไม้เปรี้ยวๆ ตามเอกลักษณ์ของเหล้าตระกูลนี้ แต่รุนแรงกว่าเจ้าตัว 12ปีหนักหนาครับ
กลิ่นโอ๊กเข้มข้นกว่าเจ้าตัวน้องเล็กมากมายครับ

เมื่อเข้าสู่ปากในจิบแรกนั้น ความหอมฟุ้งของกลิ่นต่างๆ พุ่งขึ้นจมูก ซ่านด้วยอาการ Burn ติดปลายลิ้นนิดๆ แต่ไม่บาดปากบาดคอ
เจือด้วยความเค็มนิดๆ แต่ความหวาน และความหอมของกลิ่นอโรม่านั้นมันสุดยอดมากๆ ครับ
เจ้านี่ไม่มีกลิ่นควันบางๆ เหมือนน้องเล็กนะครับ มีแต่ความหอมหวานนุ่มละมุ่น นุ่มๆ แบบฉ่ำๆ ทิ้งค้างไว้ในปากแบบอ้อยอิ่งมากๆ ครับ
จัดเป็นแบบสาวขี้อ้อนให้เราหลงเสน่ห์ได้อย่างง่ายดายเชียวครับ

ด้าน After Taste นั้นยาวทีเดียวครับ อ้อยอิ่ง แบบช่ำๆ อยู่ในปาก หอมกลิ่นอโรม่า และกลิ่นของผลไม้ค้างอยู่ในปาก
แบบชวนให้หลงเสน่ห์ ต้องรินเพิ่มเพื่อยกแบบต่อเนื่องได้เรื่อยๆ เลยเชียวครับ กับแบบ Neat นี่คงไม่ต้องลองแบบอื่นแล้วล่ะครับสำหรับผม
เหมาะสำหรับคนที่อยากลอง Full Body ที่ไม่ชอบควันครับ แต่ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบแบบหนักๆ เท่าไหร่นะครับ
เพราะน้องกวางวัยสิบแปดขวบขวดนี้เขาเป็นสาวหวานขี้อ้อนครับ ไม่ใช่สาวเปรี้ยวเชี่ยวชาญรักเหมือนกับตระกูล Laphroaig ครับ

ขอจบรีวิวแบบบ้านๆ ในรูปแบบของผมไว้เพียงแค่นี้สำหรับการส่งท้ายเดือนแห่งความรักปี 2554 นี้ครับ 

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Laphroaig 10 year old 43%


Laphroaig ตัวนี้เป็น Whisky ตัวหนึ่งที่ผมไม่ต้องตัดสินใจนานในการเปิดเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะๆ เท่านั้นเอง เพราะเกรียติศัพท์ที่ได้ยินมามากจนของมันร้อนอยากลองว่าจะเป็นจริงอย่างคำกล่าวเล่าอ้างหรือไม่

โรงกลั่นนี้ตั้งอยู่บน Islay ริมทะเลทางฝั่งตะวันออกของเกาะใกล้กับโรงกลั่นที่คุ้นหูอย่าง Lagavulin และ Ardbeg เพียงไม่ถึง 5 กิโลเมตร จุดเด่นของโรงกลั่นนี้คือเป็นโรงกลั่นเพียงไม่กี่โรงที่มีการทำ Maltingเอง และใช้ Peat ที่มีกลิ่นดินทะเล อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจากลมทะเลสร้างกลิ่นในการหมักบ่มทำให้เป็น whisky ที่มีเอกลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว

Appearance: สีทองใส ขาเล็กยาว

Aroma: กลิ่นยานำ(เด็ตตอล์ กลิ่นยาโรงพยาบาล กลิ่นสบู่) กลิ่นควันตามแรงแต่ไม่แน่นลักษณะของกลิ่นคล้ายขี้เถ้า

Taste: เค็มนำหวานตาม กลิ่นตรงข้ามกับตอนดมคือควันเด่นแล้วตามด้วยกลิ่นยา

With Water: จับรสเค็มได้น้อยลงจับหวานได้ดีขึ้นแทรกด้วยกลิ่นเหม็นเขียวคล้ายใบไม้สด และจบด้วยกลิ่นควัน

Finish: ทิ้งรสหวานอ่อนๆ ไว้ที่ปากและลำคอ และค่อยๆ มีกลิ่นควันและกลิ่นยาย้อนกลับขึ้นมาตามลำดับยาวกำลังดี

สรุป: Laphroaig 10 ปีตัวนี้มีกลิ่นที่หลากหลายแต่ไม่ซับซ้อน คือกลิ่นทุกตัวค่อนข้างเด่นวิ่งมาเป็นลำดับไม่พรวดมาทีเดียวให้งงเล่น ดื่มได้แบบจิบๆ ได้อารมณ์ร่วมไปกับกลิ่นที่แปลกใหม่ แต่ถ้าดื่มแบบยาวๆ คงไม่ไหวอาจจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ ถ้าใครสนใจ SM จริงๆ Laphroaig ตัวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดทั้งคุณภาพ ราคาและสามารถจัดหาได้ไม่ยากจึงควรที่จะลิ้มลองให้เป็นประสบการณ์ครับ