ขอต้อนรับสู่กลางเดือนสุขสันต์
ด้วย Glenmorangie Sherry Wood Finish กับลิ้นบ้านๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง
ในการลองครั้งนี้ผมขอใช้แก้วใหม่ที่เพิ่งจะได้มา Glencairn เทียบกับแก้วเดิม Paradox Bubble Glass ครับ
เช่นเคยนะครับ ความคิดเห็นที่ให้เป็นความเห็นส่วนตัวจากลิ้นบ้านๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเดิมครับ
เริ่มต้นที่สี แก้วทั้งสองใบนั้นมองสีได้ง่ายครับ ให้สีออกทองแดง ไม่เหลืองอำพัน
ตามประสาของเหล้าที่บ่มในถังไม้ Sherry ครับ
ต่อด้วยขาหรือว่า Body ของเหล้านั้น แก้ว Glencairn ช่วยให้วนแก้วเพื่อดูขาของเหล้าได้ง่ายกว่า
แต่ลักษณะของขาจากแก้วทั้งสองใบนั้นเหมือนกันครับ
คือใหญ่ หนัก ไหลช้าตามอายุของเหล้าที่บ่มนานกว่า 10 ปีครับ
ต่อด้วยกลิ่นครับ แก้ว Glencairn ก็ยังคงให้กลิ่นที่น่าประทับใจกว่า คือลึกกว่า
ตามประสาของแก้วที่ถูกออกแบบมาเพื่อการนี้ครับ กลิ่นที่ได้ชัดเจนกว่าครับ
เออ... โทษทีครับกำลังลองเหล้าไม่ใช่ลองแล้วอ่ะครับ
กลิ่นที่ได้เป็นกลิ่นของผลไม้เปรี้ยวๆ ผสมกับกลิ่นหอมๆ อโรม่าของดอกไม้
เจือด้วยกลิ่นหอมของวนิลาและช็อคโกแลตครับ ไม่มีกลิ่นควันตามสไตล์ของเหล้าตระกูลนี้ครับ
คราวนี้ก็ได้เวลาลองกันจริงๆ สักทีครับ
จับกลิ่นของ oak ความหวานติดปลายลิ้น เจือด้วยความเผ็ดนิดๆ ครับ
ทิ้งความหอมจางๆ ไว้ในปากครับ แต่ในเรื่องของความฉ่ำนั้นมีน้อยถึงน้อยมากครับ ไม่เหมือนตัว Nectar d'or ครับ
ด้าน After นั้นไม่สั้นไม่ยาว แต่ก็ชวนถวิลหาได้ไม่ยากครับ
ตัวนี้ผมว่ามันเนียนกว่า Lasanta ครับ รสชาตินั้นกลมกล่อมกว่า และไม่เผ็ดดุเหมือน Lasanta ครับ
พอให้ชวนยกดื่มได้เรื่อยๆ ตามประสาของเหล้าตระกูลนี้ที่ทำออกมาได้ดีแทบทุกตัวครับ
ความเห็นทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวเหมือนเช่นเคยนะครับ ไม่รับรองความถูกต้องครับ
ว่าแล้วคืนนี้ของร่ำลาไปร่ำสุรากับ น้อง Sherry ต่อก่อนละครับ
พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ
ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554
The Black Grouse
ทนกระแสไม่ไหวครับ กับ The Black Grouse ขวดนี้ ต้องรีบจับมาลองกับเขาบ้างครับ
สีเมื่อมองในขวดนี่ออกแนวทองแดงเข้มๆ พอรินออกมาสีจางลงตามธรรมชาติ
ขานั้นกลางๆ แต่หนักเชียวครับ
เรื่องกลิ่นนั้นแรงดีครับ กลิ่นของควัน และ peat ชัดเจนเชียวครับ
ด้านรสชาติจัดจ้าน และกลมกล่อมอยู่ในที กลิ่นควันค้างอ้อยอิ่งในปาก
สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านตามที่เล่งฮู้เฮียเคยแนะนำไว้ครับ
ยิ่งถ้าได้ Shortbread มาช่วยดึงกลิ่นด้วยแล้ว สุดยอดครับตัวนี้ ของดีราคาถูกที่ต้องหาเข้าบ้านเพิ่มแล้วครับ
ต่อกันด้วย Black Grouse on The Rock สักหน่อยครับ
Rock พร้อม Black Grouse พร้อม ว่าแล้วก็ลุยกันเลยครับ
กลิ่นควันจางลงไปเยอะเชียวครับ ผมกลับชอบกลิ่นแบบ neat มากกว่าซ่ะอีก ผมว่ามัน art ชวนดมดีครับ
ด้านรสชาตินิ่มลง ดื่มง่ายขึ้นเยอะครับ รสหวานคล้ายน้ำผึ้งกับคาราเมลชัดเจนดีครับ คล่องคอ ลื่นลิ้นดีเชียวครับ
มีความฉ่ำและความมันทิ้งไว้ในปากมากขึ้นครับ แต่ไม่นานเหมือน Nectar d'or ครับ
ทิ้งกลิ่นควันจางๆ ไว้ในช่องปากแบบพอประมาณ ครับ
ผมกลับชอบแบบ neat มากกว่านะ ผมว่ามันได้กลิ่นและรสที่เข้ม และชัดเจนกว่าครับ
สรุปแล้วผมว่าได้รสชาติไปคนละแบบครับ
สำหรับผู้ชอบดื่มยาว นี่ผมว่าแบบ on the rock หรือผสมน่าจะทำให้ดื่มสนุกครับ
ส่วนคนที่ชอบเสพ และเพื่อการผ่อนคลายนี่ผมว่าแบบ neat น่าจะดีกว่าครับ
สำหรับผมนี่ ผมชอบแบบ neat มากกว่าครับ มันได้ความเข้มเต็มอารมณ์ดีครับ
สีเมื่อมองในขวดนี่ออกแนวทองแดงเข้มๆ พอรินออกมาสีจางลงตามธรรมชาติ
ขานั้นกลางๆ แต่หนักเชียวครับ
เรื่องกลิ่นนั้นแรงดีครับ กลิ่นของควัน และ peat ชัดเจนเชียวครับ
ด้านรสชาติจัดจ้าน และกลมกล่อมอยู่ในที กลิ่นควันค้างอ้อยอิ่งในปาก
สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านตามที่เล่งฮู้เฮียเคยแนะนำไว้ครับ
ยิ่งถ้าได้ Shortbread มาช่วยดึงกลิ่นด้วยแล้ว สุดยอดครับตัวนี้ ของดีราคาถูกที่ต้องหาเข้าบ้านเพิ่มแล้วครับ
ต่อกันด้วย Black Grouse on The Rock สักหน่อยครับ
Rock พร้อม Black Grouse พร้อม ว่าแล้วก็ลุยกันเลยครับ
กลิ่นควันจางลงไปเยอะเชียวครับ ผมกลับชอบกลิ่นแบบ neat มากกว่าซ่ะอีก ผมว่ามัน art ชวนดมดีครับ
ด้านรสชาตินิ่มลง ดื่มง่ายขึ้นเยอะครับ รสหวานคล้ายน้ำผึ้งกับคาราเมลชัดเจนดีครับ คล่องคอ ลื่นลิ้นดีเชียวครับ
มีความฉ่ำและความมันทิ้งไว้ในปากมากขึ้นครับ แต่ไม่นานเหมือน Nectar d'or ครับ
ทิ้งกลิ่นควันจางๆ ไว้ในช่องปากแบบพอประมาณ ครับ
ผมกลับชอบแบบ neat มากกว่านะ ผมว่ามันได้กลิ่นและรสที่เข้ม และชัดเจนกว่าครับ
สรุปแล้วผมว่าได้รสชาติไปคนละแบบครับ
สำหรับผู้ชอบดื่มยาว นี่ผมว่าแบบ on the rock หรือผสมน่าจะทำให้ดื่มสนุกครับ
ส่วนคนที่ชอบเสพ และเพื่อการผ่อนคลายนี่ผมว่าแบบ neat น่าจะดีกว่าครับ
สำหรับผมนี่ ผมชอบแบบ neat มากกว่าครับ มันได้ความเข้มเต็มอารมณ์ดีครับ
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554
The Glenlivet 12 Year Old 40%
และแล้วก็ถึงคราวของผมบ้างหล่ะครับงานนี้ผมต้องขอขอบคุณพี่โอเล่ที่เป็นธุระจัดหามาให้ครับ
สำหรับ The Glenlivet เป็นโรงกลั่นใหญ่ของกลุ่ม Chivas Brothers ซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่เป็นกำลังการผลิตที่สำคัญของ Chivas Regal โดยรวม Glenlivet 12 ปีตัวนี้บรรจุมาในกล่องส่วยหรูหุ้มด้วยกระดาษอีกที ดูดีมีมูลค่ามากๆ ครับ
Appearance: ทองเหลืองใส่ ขาเล็กกลางๆ
Aroma: สดชื่นนึกถึงผลไม้พวกแตงโม แอปเปิ้ล ออกกลิ่นเปรี้ยวหน่อยๆ ชวนน้ำลายไหล
Taste: หวานฉ่ำออกเขียวๆ แนวๆ แอปเปิ้ลเขียว
With Water: รสหวานเด่นขึ้น รสสัมผัสนุ่มขึ้น และกลิ่นหอมแบบฉ่ำ ดื่มง่ายขึ้น
Finish : รสหวานหอมกลิ่นสดชื่นมาสั้นๆ
Aroma: สดชื่นนึกถึงผลไม้พวกแตงโม แอปเปิ้ล ออกกลิ่นเปรี้ยวหน่อยๆ ชวนน้ำลายไหล
Taste: หวานฉ่ำออกเขียวๆ แนวๆ แอปเปิ้ลเขียว
With Water: รสหวานเด่นขึ้น รสสัมผัสนุ่มขึ้น และกลิ่นหอมแบบฉ่ำ ดื่มง่ายขึ้น
Finish : รสหวานหอมกลิ่นสดชื่นมาสั้นๆ
สรุป : ใครเบื่อควันอยากโดนอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเชิญมาทางนี้เพราะ Glenlivet 12ปี ให้ความรู้สึกที่หวานแต่ไม่เลี่ยน หอมกลิ่นผลไม้อ่อนๆ มือใหม่-มือเก่าเข้าถึงได้ทุกคน ชอบเสพก็ Neat ซักแก้วสองแก้วก่อนอาหารก็ดี ชอบสังสรรค์กับเพื่อนผสมน้ำแข็งให้ความรู้สึกหวานเย็นนั่งยาวได้ถึงเช้าตื่นมาก็ไม่มีแฮงค์ครับพี่น้อง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)