![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAT4wO7Nr_UW4Ol9o3-8LuQNWaaTWhr97y31vNVoLzn3EyKAZjyDePX8Nq26usDWGXGNsM4j6TJeqOiJUfWtf9ZwUdU_k0GW6QUODeqY9XKpxsGCvbi6kUA-6bOqTvwJOMbLBgm4XT-VQB/s320/Laphroaig.jpg)
Laphroaig ตัวนี้เป็น Whisky ตัวหนึ่งที่ผมไม่ต้องตัดสินใจนานในการเปิดเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะๆ เท่านั้นเอง เพราะเกรียติศัพท์ที่ได้ยินมามากจนของมันร้อนอยากลองว่าจะเป็นจริงอย่างคำกล่าวเล่าอ้างหรือไม่
โรงกลั่นนี้ตั้งอยู่บน Islay ริมทะเลทางฝั่งตะวันออกของเกาะใกล้กับโรงกลั่นที่คุ้นหูอย่าง Lagavulin และ Ardbeg เพียงไม่ถึง 5 กิโลเมตร จุดเด่นของโรงกลั่นนี้คือเป็นโรงกลั่นเพียงไม่กี่โรงที่มีการทำ Maltingเอง และใช้ Peat ที่มีกลิ่นดินทะเล อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจากลมทะเลสร้างกลิ่นในการหมักบ่มทำให้เป็น whisky ที่มีเอกลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว
Appearance: สีทองใส ขาเล็กยาว
Aroma: กลิ่นยานำ(เด็ตตอล์ กลิ่นยาโรงพยาบาล กลิ่นสบู่) กลิ่นควันตามแรงแต่ไม่แน่นลักษณะของกลิ่นคล้ายขี้เถ้า
Taste: เค็มนำหวานตาม กลิ่นตรงข้ามกับตอนดมคือควันเด่นแล้วตามด้วยกลิ่นยา
With Water: จับรสเค็มได้น้อยลงจับหวานได้ดีขึ้นแทรกด้วยกลิ่นเหม็นเขียวคล้ายใบไม้สด และจบด้วยกลิ่นควัน
Finish: ทิ้งรสหวานอ่อนๆ ไว้ที่ปากและลำคอ และค่อยๆ มีกลิ่นควันและกลิ่นยาย้อนกลับขึ้นมาตามลำดับยาวกำลังดี
สรุป: Laphroaig 10 ปีตัวนี้มีกลิ่นที่หลากหลายแต่ไม่ซับซ้อน คือกลิ่นทุกตัวค่อนข้างเด่นวิ่งมาเป็นลำดับไม่พรวดมาทีเดียวให้งงเล่น ดื่มได้แบบจิบๆ ได้อารมณ์ร่วมไปกับกลิ่นที่แปลกใหม่ แต่ถ้าดื่มแบบยาวๆ คงไม่ไหวอาจจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ ถ้าใครสนใจ SM จริงๆ Laphroaig ตัวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดทั้งคุณภาพ ราคาและสามารถจัดหาได้ไม่ยากจึงควรที่จะลิ้มลองให้เป็นประสบการณ์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น