พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Octomore 6.01 วิสกี้สำนักที่มีกลิ่นควันแรงที่สุดในโลก





       วันก่อนผมเขียนถึง
Bell’s วิสกี้จากกสก๊อตแลนด์ไปก็มีเพื่อนๆ เข้ามาแซวว่าผมกลับมาเขียนรีวิว จริงๆ ผมก็ไม่ได้หายไปไหนครับ ยังคงติดตามชิมนู่นๆ นี่ๆ ไปเรื่อยแต่เหล้าสมัยนี้ก็แพงเหลือเกินจะเปิดซักขวดนึงกิน 1 แก้วแล้วเขียนรีวิวก็เกรงจะโดนไล่ออกจากบ้าน
มาเข้าประเด็นวิสกี้วันนี้ดีกว่า สาวน้อยที่ผมหยิบขึ้นมาชิมมีนามว่า Octomore ที่เรียกว่าสาวน้อยเพราะอายุน้องเพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้นเอง แต่ค่าตัวสุดแสนแพงดังสาวอายุ 25ปี โดยความแพงของมันมาจากกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากและสิ้นเปลืองOctomore เป็นผลผลิตจากโรงกลั่น Bruichladdich บนเกาะ Islay สก๊อตแลนด์ โดยชื่อนั้นมาจากฟาร์มซึ่งเคยมีโรงกลั่นอยู่ตั้งอยู่ ทาง Bruichladdich มองว่าโรงกลั่นนี้เคยผลิตวิสกี้ออกมาอย่างอิสระไม่ถูกครอบงำ จึงเป็นชื่อที่เหมาะกับวิสกี้ตัวนี้ที่ทำแบบทะลุกรอบอัดกลิ่นควันมาแบบทะลุจุเดือด และยังคงตั้งมั่นในการผลิตวิสกี้ให้ทำลายสถิติกลิ่นควันออกไปอีกอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง version 6.1 ก็อัดมาถึง 167ppm ถือว่าสูงมากเพราะสายควันจัดๆ อย่าง Ardbeg มีอยู่ประมาณ 50ppm เท่านั้นเอง แถมด้วยดีกรีที่ปาเข้าไป 57% แน่นอนว่าวิสกี้ตัวนี้คงไม่เหมาะกับมือใหม่

การชิมวิสกี้ขวดนี้ผมเริ่มด้วยการเทใส่แก้วแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10นาที เพราะคิดว่าน่าจะช่วยเปิดกลิ่นได้บ้าง สีทองสวยงาม ขาขนาดเล็กยาวเหนียว กลิ่นเบคอนรมควัน แซลมอนรมควัน ยกแบบสดๆ มีกลิ่นทะเล กลิ่นสาหร่ายเผา และแทรงขึ้นมาจนนำด้วยกลิ่นยาล้างเล็บ น้ำมันเครื่อง เผ็ดลิ้น แสบไปถึงคอ จบแบบแสบๆ แต่หวานติดลิ้น มีกลิ่นควันฟุ่งขึ้นมาจากลำคอ ต่อด้วยการใส่น้ำลงไปนิดนึงช่วยให้ความเผ็ดหายไปเยอะ มีความหวานและพบกับบอร์ดี้ที่ถือว่าหนาพอสมควร กลิ่นควันยังคงเท่าเดิมเด่นชัดด้วยกลิ่นคล้ายน้ำตาลไหม้
สรุป เป็นวิสกี้ที่กลิ่นควันชัดเจนเหมาะกับผู้คลั่งไคล้วิสกี้สายควัน วิธีดื่มที่ผมคิดว่าดีที่สุดคือใส่น้ำนิดนึงและควรดื่มน้ำเย็นตาม เพราะมันช่วยดึงความหวานและกลิ่นที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ชัดเจน ราคาค่าตัวถือว่าไม่ดุมาก ที่สำคัญตอนนี้มีขายในบ้านเราแล้วราคาก็แทบไม่ต่างจากไปวิ่งหาซื้อที่ต่างประเทศเลย ความเห็นส่วนตัวจากการได้ลองตัวนี้มนุษย์เราทุกคนมีการรับรู้กลิ่นที่ไม่เท่ากัน โดยผมคิดว่าต่อให้ค่าของกลิ่นสูงมากๆ แต่ผมน่าจะรับรู้ได้สูงที่สุดน่าจะประมาณ 50ppm เกินกว่านั้นก็น่าจะรู้สึกได้แค่ 50ppm หากใครจมูกดีๆ ก็น่าจะรู้สึกได้ลึกอีก

#แอดมินตือ #เย็นย่ำก็ร่ำสุรา #Octomore #Bruichladdich #whisky #ดื่มอย่างรับผิดชอบ #เมาไม่ขับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Bell's whisky สายชอบชง 40%

บ่ายนี้ที่โดนหวยแดก งุ่นง่านมาเขียนรีวิวดีกว่า

Bell's whisky เป็น Blended whisky จาก Scotland ที่เพิ่งจะวางขายในบ้านเราอย่างเป็นทางการ เป็นแบรนด์ที่แอดมินเห็นมานานหละตามต่างประเทศ ประวัติของวิสกี้ตัวนี้ก็คล้ายๆ กับ Blended whisky ตัวอื่นๆ ในยุคนั้น คือในปี ค.ศ. 1851 พ่อค้านักปรุงวิสกี้ นาม Arthur Bell ซื้อเหล้าโรงนู้โรงนี้มาผสมๆ กันแล้วเอาไปขายในช่วงที่วิสกี้เริ่มเป็นที่นิยมในเครือจักรภพ โดยเน้นตลาดหลักคือ London ประเทศอังกฤษ แต่ปัจจุบันแบรนด์ Bell's นี้อยู่ภายใต้กลุ่ม Diageo จึงเน้นใช้วิสกี้จากโรงกลั่นในเครือเป็นหลักได้แก่ Blair Athol, Dufftown, Inchgower และอาจจะมีโรงอื่นบ้างเป็นครั้งคราว


ว่าด้วยเรื่องของรสชาติ แอดมินได้ลองแบบ on the rock ถือว่าเป็นวิสกี้ที่มีความเผ็ดนำ และมีกลิ่นของวนิลา น้ำผึ้ง อบเชย ชัดเจน ปนๆมาด้วยกลิ่นควันปิดมาตอนท้ายนิดๆ บอร์ดี้บางไปทางกลาง จบแบบกระชับทิ้งความเผ็ดและกลิ่นแอลกอฮอล์ไว้ในปาก

เมื่อลองชงด้วยโซดาก็สามารถช่วยลดความเผ็ดลงได้เยอะ กลิ่นวนิลา โอ๊ค ยังคงเด่น ตามไสตย์วิสกี้ที่เน้นความคุ้มค่าเจาะกลุ่มตลาดทั่วๆ ไป

โดยรวมราคานี้คงหล่นยาก เหมาะเอามาชงนู่นนี่ หรือเอามาทำ cocktail ก็ได้ และที่สำคัญเข้ากับอาหารรสจัดอย่างซุปเปอร์ตีนพ้นน้ำหรือเล้งแซ่บก็คงไม่เลว

#แอดมินตือ #เมาไม่ขับ #Bellswhisky #เย็นย่ำก็ร่ำสุรา #ดื่มอย่างรับผิดชอบ