พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

East Meet West Blended Malt Whisky #1

ขอทดสอบเหล้าที่ผสมขึ้นเองโดยให้ชื่อว่า East Meet West Blended Malt Whisky #1
ตัวเหล้าประกอบด้วยส่วนผสมดังนี้
1. Kavalan Port Cask  100 ml.
2. Nikka All Malt  120 ml.
3. Nikka Pure Malt  100 ml.
4. Yamazaki Non-Age  80 ml.
5. Ardbeg 10  80 ml.
6. Glenfiddich 15 Yo.  60 ml.
7. Glenlivet Founder's Reserve  80 ml.
8. Highland Park Dark Origins  100 ml.
9. Laphroaig PX Cask  40 ml.


ส่วนตัวแล้วผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า 
"เมื่อเราจะทำอะไรที่กินได้ เมื่อใช้วัตถุดิบที่ดี และเรามีความตั้งใจที่จะทำแล้ว ของที่ออกมานั้นต้องดีแน่นอน"
มาพิสูจน์ความคิดนี้กันดีกว่าครับ ว่ากันตามประสาลิ้นบ้านๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคย
และอาจมีการอวยตัวเองด้วยเล็กน้อยนะครับ

เริ่มกันที่สี ออกทองใสๆ ตามประสาสัดส่วนของเหล้า Non-Age ที่เป็นส่วนผสมหลักเลยก็ว่าได้

กลิ่น ออกทางผลไม้รสเปรี้ยว ที่เรียกว่า Citrus บ๊วยเล็กน้อย เจือด้วยกลิ่นลูกเกต Sherry Oak นิดๆ
เจือด้วยกลิ่นไอทะเลเล็กน้อย ควันค่อนข้างเบาบาง (เพราะไม่เน้นสายควันกลัวกลบกลิ่นอื่น)
สัมผัสคล้ายสายลมแห้งๆ แต่เย็นชื่นใจของฤดูหนาว (อันนี้โม้เพราะดื่มในฤดูหนาวไงตัวเธอ)


ต่อกันที่ด้านรสชาติบ้าง 
กลิ่นดี รสชาติตกนี่ หล่นเลย 
จิบแรกที่เข้าไปยังไม่แสดงตัวเองมากนัก 
แล้วก็เริ่มทักทายด้วยความซ่า และเผ็ดร้อนของส่วนผสม Non-Age ตามมาด้วยกลิ่นควัน peat ที่คุ้นเคยผิดกับกลิ่นตัวเมื่อตอนดม กลบด้วยความหลากหลายของความหวานหอมของสาวฝั่งเอเชีย และ Scotch ที่ผลัดกันดันตัวเองขึ้นมาให้เชยชม
อวดตัวเองว่าเป็นลูกผสมที่ลงตัว


After Taste จัดว่าสั้นไปสักนิด แต่รวมๆ แล้วจัดว่าน่าประทับใจ
ให้สัมผัสที่หลากหลาย ร้อนรุ่ม และอ่อนหวาน คละเคล้า ผสานกันได้อย่างลงตัว
Conclusion เหมือนสาวน้อยลูกครึ่งที่อ่อนหวานเรียบร้อยสไตล์สาวเอเชีย เมื่อแรกพบประสบหน้า
แต่ร้อนแรงในลีลา เร่าร้อนเมื่อได้สัมผัส ชวนให้วาบหวาม และหลงใหลได้ง่ายเหมือนสาวรุ่นจากฝั่งตะวันตก

ว่าแต่หมดแล้วผมก็ผสมใหม่ไม่ได้เพราะส่วนผสมหลายตัวหมดแล้ว คงได้แต่บันทึกสูตรเอาไว้ให้เพื่อนๆ ได้ลองจัดหามาเล่นกัน ส่วนตัวผมนั้น เริ่มมีโครงการ 2 เอาไว้ในใจเรียบร้อยละครับ 

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Chivas Regal Mizunara 12 Yo.

สำหรับเจ้า Chivas Regal Mizunara 12 Yo ขวดนี้ก็ได้รับการส่งมาให้จากเพื่อนใหม่แปลกหน้าอีกแล้วครับ จากคุณ LoveLove Love ต้องขอขอบคุณจากใจอีกครั้งครับ

สำหรับเจ้านี่เหมือนว่าเป็นการนำไป Finished ใน Japanese Oak Cask ที่เรียกกันว่า Mizunara นั่นแหละครับ ว่ากันเรื่อยๆ ตามประสาลิ้นบ้านๆ ส่วนข้อมูลรบกวนลอง Google ดูก็แล้วกันเนาะ ผมแนวลองไม่ใช่แนวเน้นข้อมูลนะฮ่ะ

มาว่ากันที่สีก่อนละกันครับ  ทองอำพันใสๆ ที่เรียกกันว่า Amber Gold

กลิ่น Aroma ค่อนข้างดีจัดว่าแปลกกว่า Chivas ตัวอื่นๆ เท่าที่เคยได้ลองมาครับ Citrus, Oak อ่อนๆ ละมุน ไม่จัดจ้านเหมือน Oak จากฝั่งยุโรป เหมือนเดินอยู่กลางดงดอกไม้ของเอเชียที่หอมๆ

รสชาติ หวานนำ เจือด้วยกลิ่น Oak อ่อนๆ เหมือนสาวแรกรุ่นที่ไร้จริต อ่อนหวานเหมือนดอกไม้แรกแย้ม สร้างความประทับใจได้แบบเรียบง่ายสไตล์สาวญี่ปุ่นก็ว่าได้ครับ

After Taste ค่อนข้างยาว Oak อ่อนๆ ตีกลับขึ้นมาพร้อมด้วยกลิ่นดอกไม้หอมๆ พร้อมกับ Citrus ที่ค้างวนๆ อวลอยู่ในช่องปาก สร้างความประทับใจได้พอๆ กับ Single Malt ดีๆ ได้สบาย หรือจะข้ามรุ่นไปชกกับพี่สาววัย 18 ก็ยังพอไหวครับ

Conclusion หากมีโอกาสเจอหน้าก็หามาลองเถอะครับ รสชาติชวนถวิลหา เหมือนสาวน้อยวัยใส ให้ความประทับใจแรกแย้ม อ่อนโยนไร้จริต เรียบง่ายสไตล์สาวญี่ปุ่นจริงๆ ครับ

ป.ล. ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคย ดีที่สุดคือหามาลองด้วยตัวเองครับ

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Laphroaig 10 Unblended Islay Malt Scotch Whisky

ได้รับแบ่งปันน้ำใจเจ้า Laphroaig 10 Unblended Islay Malt Scotch Whisky ขวดนี้มาจากคุณ LoveLove Love
ตอนแรกเข้าใจว่าน่าจะเป็นตัวยุคแรกๆ ของ Laphroaig แต่หลังจากได้ชิมแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่รุ่นเดียวกันกับโฉมปัจจุบัน
แต่ก็อาจเป็นที่รสชาติเปลี่ยนเพราะเก่าเก็บ เป็นไปได้ทั้งสองแบบ ไม่ขอสรุปในเรื่องนี้ครับ

คราวนี้เรามาว่ากันตามประสาลิ้นบ้านๆ ดีกว่าเนาะ

เริ่มที่สี ออกทางทองใสๆ ดูเหมือนว่าจะเข้มกว่าตัว Laphroaig 10 โฉมปัจจุบันเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนสีทองอำพันเข้มๆ ครับ

ว่ากันต่อที่กลิ่น กลิ่นอันแสนคุ้นเคยของน้องสาหร่ายมาครบ กลิ่นคุ้นเคยที่เรียกว่า Hospital Smell ก็มา แต่กลิ่นเหมือนไม่ใช่ Dettol (แปลกที่ 1) อ่าวๆๆๆ ไม่มีกลิ่น Peat (แปลกที่ 2) เสริมด้วยกลิ่น Citrus และ Caramel อืม... หรือจมูกผมจะเพี้ยน... ดมอยู่หลายรอบก็ยังเป็นเช่นเดิมครับ จมูกบ้านๆ คงได้แค่นี้จริงๆ

มาว่ากันต่อที่รสชาติแบบลิ้นบ้านๆ กันบ้างดีกว่าเนาะ
จิบแรกที่เข้าไปรู้สึกได้ถึงความหวานละมุ่น ตามด้วย Carbon ยาสูบ ควันเล็กน้อย จัดว่าต่างจากโฉมปัจจุบันอยู่พอควร โดยเฉพาะเรื่อง Peat ที่ไม่ได้กลิ่นเอาเลยครับ ละม้ายไปทาง Select Cask มากกว่า แต่ให้สัมผัสและ Balance ที่ Smooth กว่ากันเยอะครับ

After Taste ค่อนข้างยาว ทิ้งกลิ่นยาสูบ ควันเบาๆ ความหวานแบบชวนถวิลหา เมื่อเทียบกับโฉมปัจจุบันแล้วน่าคบหากว่า แต่อย่างที่บอกครับ อาจเป็นที่รสชาติเปลี่ยนเพราะเก็บมานานได้เช่นกัน

Conclusion ติดใจครับหมดแล้วจะหาจากหนาย ราคาเท่าที่ลองค้นดูชายก็รับม่ายด้าย....  

ขอบคุณ คุณ LoveLove Love ที่ส่งมาให้ลองครับ

ป.ล. อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลองด้วยตัวเองครับ รีวิวกากๆ ลิ้นบ้านๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Johnnie Walker XR 21 Yo

ขอเข้าเรื่องกันตามประสาลิ้นบ้านๆ เลยก็แล้วกันครับ

สี ค่อนข้างเข้มเจือทองแดง ดูแล้วน่าจะผ่านการ Finished ใน Sherry Oak Cask

กลิ่น ลูกพรุน วนิลา Citrus Aroma ค่อนข้างดีเลยเมื่อเทียบกับสีอื่นๆ ของเหล้าจากตระกูลนี้ มีกลิ่นไอของ Platinum Label อยู่พอสมควร แต่ให้ความรู้สึกเข้มข้นกว่า

รสชาติ เห้ย... คือมันดีงามกว่า JW ตัวอื่นๆ ที่เคยผ่านมารวมถึง Blue Label ให้สัมผัสที่ละมุน ลูกพรุน ควันเบาๆ เชอรี่ Balance จัดว่าดีงาม

After Taste ค่อนข้างยาว ลูกพรุน เชอรี่ และ Oak หอมๆ

Conclusion น่าสนใจ งดงามตามท้องเรื่อง ค.ห.ส.ต. JW ทำตัวนี้ออกมาได้สมกับความเป็น Extra Rare มากครับ
ถ้าราคาประมาณ Duty Free ที่ขายๆ กันอยู่คือไม่เกินสามพันบวกลบ นี่คือสมราคาเลยครับ ส่วนบ้านเรามีแสตมป์เท่าที่เห็นก็ห้าพันบวก ก็ยังจัดว่าดีงามกว่าฉลากน้ำเงินครับ
ใครจะบวกไม่บวกก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ในกระเป๋าท่านก็แล้วกันนะครับ อย่าให้เดือดร้อนตัวเองก็พอครับ

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Remy Martin XO

การบ้านขวดเล็กนี้รับมาจากเฮีย City ร่วมปีมาแล้ว
เนื่องจากว่าไม่ค่อยชินกับแนวนี้เท่าไหร่จึงผัดผ่อนมานาน
ส่งการบ้านดีกว่าเผื่อเฮียจะมีขวดใหม่มาให้ชิมอีก
มาว่ากันตามประสาบ้านๆ กันเถอะ
สี ทองแดงเข้มๆ ออกทางสีเลือดหมูนิดๆ

กลิ่น ไร้กลิ่นตัวน้องแอลมารบกวน จับได้กลิ่นดินเล็กน้อย หนักไปทางกลิ่นองุ่น
ได้กลิ่นไอของ Single Malt ที่ผ่านการบ่มด้วย Sherry Oak Cask

รสชาติ นุ่มนวลแต่แฝงความเผ็ดร้อนอยู่ในที เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเป็น Cognac
และ Cognac ชั้นดีเป็นเช่นไร ให้สัมผัสชวนฝัน กลิ่นดิน องุ่นชัดเจน และเผ็ดนิดๆ คล้ายความเผ็ดของพริกไทย

After Taste ยาวเหยียด ให้ความอบอุ่นที่ชวนถวิลหา กลิ่นดิน ยาสูบจางๆ ค้างอวลๆ วนอยู่ในช่องปาก 

Conclusion อย่าไปยุ่งกับ VS / VSOP ให้เสียเวลาเลยครับ หากกำลังทรัพย์ถึง หรือไม่เดือดร้อนกับตัวเอง จัด XO ไปเลยดีกว่าครับ  ในวันสบายๆ เพลงที่ชอบจิบเบาๆ เคล้าเสียงเพลงก็เห็นสวรรค์รำไรอยู่ไม่ไกล

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Glenlivet Founder's Reserve

กระแส Non-aging กำลังมาหลายค่ายทยอยออก Non-Age กันมา
Glenlivet ก็ไม่พลาดจัด Founder's Reserve ออกมาให้ทันกระแส
ว่าแล้วเรามาเข้าเรื่องกันแบบลิ้นบ้านๆ เหมือนเช่นเดิมกันดีกว่าครับ

สี ออกทองใสๆ ขางดงามประมาณหนึ่ง
กลิ่น Citrus เน้นๆ ตามด้วย ลูกแพร Oak ใสๆ *** อันนี้ คหสต. น่าจะเป็นกลิ่น France Oak
กลิ่นตัวน้องแอลค่อนข้างจาง

รสชาติ จัดว่าค่อนข้างดี Body บางๆ เพื่อนๆ สายหวานน่าจะชอบครับ Balance ดีงามไม่ดุดัน
เหมือนสาวหวานคอยพะเน้าพะเนอเอาใจอยู่ใกล้ๆ

After Taste ค่อนข้างยาว Fresh Oak หอมๆ อวลๆ อยู่ในปากพร้อมกับกลิ่นส้ม ชวนให้ยกจิบได้เรื่อยๆ ในวันอากาศร้อนๆ หรือลมพัดเอื่อยๆ สบายๆ ถ้าอากาสร้อนๆ น้ำแข็งเหล็กสัก 1-2 ก้อนน่าจะแจ่มเลย

Conclusion น่าจัดเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านได้อยู่ 
จะติก็เรื่องเดียวกับ Body ที่บางไปสักนิดหากน้ำไปผสมน่าจะเปลืองเหล้าอยู่พอควร
หากสงสัยว่ามันบางยังไง หากใครเคยชิม JW Platinum ก็ประมาณนั้นเลย แต่รสชาติไม่ต้องถามนะตัวนี้ให้อะไรมากกว่าเยอะครับ

ปล. คหสต. ล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ
ปล.2 หากถูกจับอย่าลืมไปช่วยประกันตัวผมด้วยนะครับ แฮ่

The Arran Malt 10 Yo

Malt Whisky รสชาติดีจากเขตชาวเกาะ (Isle of Arran)
ตัว 10 ปีขวดนี้ถือว่าให้ความคุ้มค่าสำหรับผมเลย ทั้งราคา และรสชาติครับ
เริ่มกันแบบลิ้นบ้านๆ ละกันเนาะ
สี ทองใสๆ คงด้วยอายุที่บ่มไม่นาน และไม่ได้บ่มด้วย Sherry Oak Cask ด้วย

กลิ่น Citrus น้ำผึ้ง หอมสดชื่นดี

รสชาติ เนื้อแน่นเต็มปากเต็มคำดีนะ Butterscotch Vanilla Hazelnut
เหมือนกินไอกรีมวนิลาราดด้วย Butterscotch

After Taste ค่อนข้างยาว จับหางควัน Peat จางๆ ไม่หนักหน่วง

Conclusion ราคาสมเหตุผลเหมาะที่จะเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านได้เลยครับ

ความเห็นส่วนตัว สำหรับเพื่อนที่อยากลองสายชาวเกาะ เลือกตัวนี้มาไม่น่าผิดหวังครับ
ไม่หนักหน่วงเกินไปเหมือน Ardbeg 10 ไม่เบาบางเกินไปเหมือน Jura
ตัวนี้เหมือนอยู่ตรงกลางให้ Balance ที่สวยงามตามท้องเรื่อง อาจจะไม่ใช่สำหรับเพื่อนๆ ก็ได้นะครับ
แต่ตัวนี้เมียน้อยผม รองจาก Laphroaig 10 ครับ สำหรับสายชาวเกาะ

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ LittleMill Pure Malt 5 YO

ผมได้รับแบ่งปันเจ้า LittleMill Pure Malt ขวดจิ๋วนี้มาจากคุณ LoveLoveLove ครับ
ถือเป็นการบ้านเพิ่มเติมจากเดิมที่เคยให้ Laphroaig Unblended 10 Yo มาก่อนหน้านี้
จะเริ่มทยอยส่งการบ้านที่ค้างทั้งหมดให้ก่อนสิ้นปีครับ

เข้าเรื่องกันตามประสาลิ้นบ้านๆ กันดีกว่าครับ

สี ออกทองใสๆ คล้ายพวก Laphroaig 10 หรือ Glenmorangie 10

กลิ่น จัดว่าค่อนข้างดี Citrus Caramel จางๆ อบเชย + กลิ่นจำพวกถั่วนิดๆ

รสชาติกันบ้างตามประสาลิ้นบ้านๆ นะครับ
ถือว่าไม่เลวครับ แม้จะระเหยออกไปบ้าง Caramel พริกไทย เครื่องเทศพวกอบเชยพอประมาณ
เบาๆ ใสๆ แต่เผ็ดร้อนในตอนจบ คงเพราะอายุบ่มที่ไม่มากแค่ 5 ปี

After Taste ค่อนข้างสั้น แถมด้วยความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศพวกอบเชย
รวมๆ ก็พอได้ครับน่าจะเหมาะกับวันร้อนๆ ล้าๆ หลังเลิกงาน

ป.ล. หมดจากเจ้า LittleMill ขวดนี้ผมต่อด้วย Glenlivet Founder's Reserve ผมจับกลิ่นโมลาสได้ใน Founder ครับ แปลกดีนะ

Conclusion จัดว่าผ่านเสียแต่หายาก และถ้ามีตัวที่อายุบ่มนานว่านี้อีกสักนิดสัก 10 ปีบวกผมว่าน่าสนใจเลยครับ
เอาง่ายๆ ก็คงต้องหาตัว Glenmorangie 10 น่าจะดีกว่าครับ

ป.ล. ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Balvenie 21 Yo

ได้รับแบ่งการบ้านขวดนี้จากไนท์ มาร่วม 3-4 เดือนแล้วเพิ่งจะมีเวลามาไล่เคลียร์การบ้านในช่วงนี้
ตอนที่รับแบ่งมาไนท์ก็เตือนผมแล้วนะว่ากินแล้วมัน "อะไรว่ะ" ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าเหล้ามีชื่ออาย 21 ปี มันจะ "อะไรว่ะ" ได้ยังไง
ว่าแล้วเรามาเล่าสู่กันฟังตามประสาลิ้นบ้านๆ กันดีกว่าเนาะ

สี ทองอำพันค่อนข้างเข้มแต่ไม่ติดสีทองแดง ด้วยอายุบ่มที่นานถึง 21 ปีก็สวยงามตามท้องเรื่อง

กลิ่น ไนท์หลอกชัวร์ กลิ่นออกจะสวยงามขนาดนี้ Citrus กลิ่นหวานๆ ฉ่ำๆ ของน้ำผึ้ง  Fruit Cake แถมด้วย Maple Syrup
Oak จางๆ และไม่มีกลิ่นตัวน้องแอลมากวนใจด้วย โอ้ว... นี่มันสวรรค์ชัดๆ แต่....
เดี๋ยวนะ แบบนี้คุ้นๆ ว่าเคยโดนหลอกด้วยกลิ่นจากเกลนอีเกิ้งมาแล้วรอบหนึ่งนี่หว่า
อุ้ย...ไม่หรอกม้างตัวนั้น 12 ปีตัวนี้ 21 ปีเชียวนา หึๆ (ปลอบใจตัวเองเบาๆ)

รสชาติ Body ค่อนข้างบาง จิบแรกที่เข้าปาก "อะไรว่ะ" JW Platinum ที่ว่าจืดเจอตัวนี้เข้าไป W.T.F.
ติได้เลยว่าค่อนข้างไม่มีอะไรให้รู้ว่าเป็น 21 ปี เผ็ดร้อนวูบวาบ Light Body หวานปนเผ็ด ให้สัมผัสสากๆ ทื่อๆ

After Taste ค่อนข้าง "อะไรว่ะ" ทิ้งความเผ็ดร้อน เจือด้วยกลิ่น Oak นิดหน่อย แต่ก็ยาวอยู่พอประมาณกับความสากอยู่ในปาก

Conclusion "12 ปี Double Wood เถอะพี่ขอ"

ป.ล. ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องนะครับ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Laphroaig 18years old 48% ของรักของข้า


สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวเย็นย่ำก็ร่ำสุรา ห่างหายกันไปนานกับการรีวิววิสกี้กับผมแอดมินตือ เนื่องจากติดภาระกิจมากมายวันนี้อากาศดีไม่มีภาระกิจเลยต้องจัดซักรีวิว กับวิสกี้สายควันค่ายรักของผมเอง Laphroaig สำหรับประวัติค่ายนี้คงไม่ต้องกล่าวกัน เข้าเนื้อๆ เลยหล่ะกันครับ กับตัวโปรดของผม Laphroaig 18ปี แต่เพื่อให้การรีวิวเห็นภาพผมจึงยกรุ่น 10ปีมาชิมเปรียบเทียบกันด้วยครับ


สำหรับตัว 18ปีขวดนี้เป็นรุ่นสลากเก่าสามารถสังเกตุได้จากกระป๋องที่บรรจุจะเป็นสีเขียว (ตัวสลากใหม่จะเป็นสีขาว) บรรจุมาที่ 48%แอลกอฮอล์ ส่วน 10ปีเป็นฉลากใหม่บรรจุมาที่ 43%แอลกอฮอล์

 
Appearance:

  • 10ปี สีทองใส ขาเล็กยาวหนืดๆ
  • 18ปี สีทองใสแต่จะสีอ่อนกว่าตัว 10ปีนิดหน่อย ขาเล็กยาวหนืด

Aroma: 

  • 10ปี กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดตามโรงพยาบาล กลิ่นควันแรงๆ ลอยขึ้นมาโดดเด่นฟุ้งกระจายไปทั่ว 
  •  18ปี กลิ่นควันนำ มีกลิ่นคล้ายวนิลา น้ำผึ้ง ทะเล กลิ่นจะมาแบบกลมๆ ไม่ฟุ่งเท่า 10ปี แต่รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่รอวันแตกเหมือนลูกโป่งที่มีน้ำอยู่เต็มใกล้จะระเบิด

Taste: 
  • 10ปี หวานนำ เผ็ดตามมาแต่ไม่มากความหวานกลบอยู่ บอร์ดี้มีมากลางๆ กลิ่นควันเต็มปาก เด๊ดตอล์มาเต็ม ขี้เถ้า กลิ่นเกลือเค็มๆ สาหร่ายสดๆ
  • 18ปี หวานนำ เผ็ดมาเต็มๆ ตาม48%แอลกอฮอล์ อุ่นๆ ในปาก บอร์ดี้แน่ๆ ควัน คาลาเมลไหม้ๆ วนิลา หอยนางรม ขนมสาลี่ เด๊ดตอล์ขึ้นจมูก

With Water: 

  • 10ปี ความเผ็ดแทบจะหายไปเหลือความหวานไว้เนียนๆ คล้ายน้ำเชื่อมที่น้ำแข็งละลายผสมลงไป กลิ่นควันยังโดดเด่นจนอาจรู้สึกขมในปากเหม็นเขียวใบฝรั่ง 
  • 18ปี หวานน้ำผึ้ง แต่ก็ยังมีความเผ็ดที่หลีกไม่พ้น บอร์ดี้ยังแน่น ควันยังมีอยู่จนรู้สึกได้ไปถึงโพลงจมูก กลิ่นทะเลเย็นๆ มาเต็มๆ

Finish:

  • 10ปี ทิ้งความหวานกับบอร์ดี้กลางๆ ไว้ทั่วปาก กลิ่นควันยังคงตีกลับขึ้นมาให้รู้สึกอยากดื่มอีกแก้ว
  •  18ปี ทิ้งความเผ็ดเล็กน้อย ความหวานเต็มๆ ไว้ทั่วปากพาลไปถึงโพลงจมูกและลำคอ เคล้ามากับกลิ่นน้ำผึ้งและกลิ่นควัน แต่แอบสดชื่นคล้ายกินแตงโมหลังอาหารทะเล

สรุป: Lapgroaig 18ปีเป็นวิสกี้ที่ทำออกมาได้ดีเป็นการพัฒนาขึ้นมาจากตัว 10ปีอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีความเผ็ดตามดีกรีที่สูงแต่แลกกับบอร์ดี้ใหญ่ๆ และกลิ่นที่แอบซ่อนความซับซ้อนถือว่าทำสมดุลออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ดื่ม 2-3แก้วกำลังดีถ้ามากกว่านั้นอาจจะหนักไปหน่อยสำหรับนักดื่มมือใหม่ Laphroaig 18ปี จึงเป็นวิสกี้ตัวหนึ่งที่ผมแนะนำให้ชิมครับ

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้าน กับ Tomintoul 16 Yo.

สำหรับเจ้า Tomintoul 16 Yo. ขวดน้อยขวดนี้ผมได้รับแบ่งปันมาจากคุณ Jack Adisorn ครับ
ความเป็นมาไม่ทราบเพราะไม่ใช่ทางผม เอาเป็นว่าพุ่งเข้าหาเรื่องลองกันตามประสาลิ้นบ้านๆ ไปเลยดีกว่า

เริ่มกันที่สีก่อนเลย ทองอำพันใสๆ ที่เรียกกันว่า Amber ค่อนข้างสวยงามตามท้องเรื่อง

กลิ่น เข้าใจว่าพลาดในตอนแรกเพราะไปถ่ายใส่ขวดที่มีกลิ่นอื่นติดจนคิดว่าตัวเองจมูกเพี้ยนไปแล้วหรือปล่าว
แต่พอไปเทียบกับที่พวกนักรีวิวฝรั่งก็พบว่าอ้อตรูไม่พลาดละ
ตามจมูกสั่วๆ ของผมครั้งแรกนั้น ซาบกลิ่นตัวน้องแอลอยู่พอประมาณ
แถมด้วยกลิ่นแยมส้มหรือที่เรียกว่า Marmalade (กลิ่นนี้แหละครับที่คิดว่าจมูกเพี้ยนกับกลิ่นติดขวด)
พอหยดน้ำลงไปเท่านั้นแหละ Cinnamon ถั่วจำพวก Almond ลอยตามขึ้นมาเชียว

มาว่ากันที่รสชาติตามประสาลิ้นบ้านๆ กันบ้างดีกว่าครับ
หวานนำโด่งในจิบแรกชัดเจนจนแปลกใจ คล้ายจิบกาแฟผสมครีมและน้ำเชื่อม Almond
เจือด้วยรสเผ็ดนิดๆ ของพริกไทย และ Cinnamon รสชาติจัดว่าค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับผมนะ

After Taste จัดว่าค่อนข้างยาวให้ความรู้สึกฉ่ำนิดๆ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่
ให้สัมผัสของกลิ่น Almond เจือด้วยความหวานคล้ายไซรับ
รวมๆ แล้วก็ค่อนข้างประทับใจในความแปลกใหม่ของรสชาติที่ได้

Conclusion จัดเป็นเหล้าที่ดีน่าประทับใจสำหรับการค้นหาความแปลกใหม่
แต่ให้ถึงขั้นเป็นเหล้าสามัญประจำบ้านไหมนี่ขอคิดก่อนนะ

ป.ล. ความเห็นที่ให้เป็นความเห็น และความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคย
เพราะก็แค่ลองแล้วมาเล่าสู่กันฟังตามประสาเพื่อนๆ เท่านั้นนะครับ หากเป็นไปได้แนะนำให้หามาลองด้วยตัวเองอีกครั้งครับ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

แสงโสมเหรียญทอง

ห่างหายจากการดื่มเหล้าไทยไปนาน วันนี้ขอมาทบทวนความทรงจำกันสักนิด
กับขวัญใจมหาชน แสงโสมเหรียญทอง ปกติแล้วผมชอบดื่มแบบผสมน้ำเย็นๆ น้ำแข็งเกล็ดพูนๆ แล้วอร่อยกำลังเหมาะ
แต่ไหนๆ แล้วเราก็มาลองกันแบบ Neat สักครั้งให้ได้รับรสชาติจริงๆ ของเหล้ากันสักหน่อยพอเล่าสู่กันฟังดีกว่า
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนก็คงเคยลองกันมาแล้ว แต่วันนี้ถือว่ามาเล่าแบบแลกเปลี่ยนกันให้ฟังก็แล้วกันนะครับ

เอาจริงๆ ผมเคยนั่งจิบแบบ Neat หมดแบนกับเฮีย city มาแล้วรอบหนึ่ง แต่วันนี้ขอมาเล่ากันแบบลิ้นบ้านๆ กันบ้างดีกว่า
ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคย และเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ

เริ่มกันที่สีเหมือนเช่นเคย สีอออกทองแดงใสๆ สวยอยู่นะครับ
กลิ่น เนื่องจากผมรินพักไว้ก่อนดื่มรวมทั้งใช้เวลาถ่ายรูปไปด้วยร่วม 10 นาที ทำให้กลิ่นตัวน้องแอลจางลงไปเยอะครับ กลิ่นหลักๆ ที่ได้ก็ Molasses กลิ่น Rum แล้วก็น้ำตาลไหม้นิดหน่อย

ด้านรสชาตินั้น ติดว่าจะจืดไปสักนิด คงเพราะลิ้นเริ่มชินกับรสชาติที่หลากหลายและเข้มข้นกว่าของ SM มานาน หอมน้ำอ้อย หวานน้ำตาลคล้ายคาราเมล ได้น้ำแร่เย็นๆ ตบท้ายนี่ทิ้งความหวานหอมไว้ในปากพอประมาณ ดีกว่า Spirit of Austria : Stroh เยอะเชียวครับ (หาอ่านได้ที่ http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=2384.0 )

After Taste นั้นค่อนข้างจะสั้น แต่ก็ทิ้งความหวานชวนประทับใจมากกว่า Spirit of Austria หลายช่วงตัว
ด้วยความที่ไม่มีกลิ่นยางไม้ชวนขนลุก ที่เจนสัมผัสได้ เหอะๆ
รวมๆ แล้ว Spirit of Thailand ชนะเลิศครับ

สรุปแล้วในวันง่ายๆ สบายๆ กับเพื่อนเก่าๆ หยิบมาตั้งไม่น่ารังเกียจ
จิบแบบ neat หรือจะผสมตามใจชอบก็แล้วแต่ เอาที่สบายใจเลยของแต่ละคนได้ เป็นเหล้าที่เรียบง่ายราคาเป็นมิตรกับกระเป๋า หามาติดบ้านไว้ก็ไม่เสียหาย เบื่อๆ มาก็จับมาทำเป็น Cocktail ได้อีกต่างหาก


คหสต. ผมก็คงมีเพียงเท่านี้ รอบหน้าจะลอง แม่โขงโฉมใหม่กันบ้างครับว่าเป็นอย่างไร สวัสดี

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Royal Lochnagar

การบ้านอีกหนึ่งที่ได้รับปันส่วนมาจากงาน Meeting ครั้งล่าสุดที่ กทม.
เข้าเรื่องกันแบบลิ้นบ้านๆ กันเลยดีกว่าครับ

สี ทองแดงเข้มๆ น่าจะผ่านการบ่มด้วยถัง Sherry มาด้วยแน่ๆ เพราะรินออกมากลิ่นก็นำโด่งมาก่อนเลย

กลิ่น Sherry เน้นๆ ข้นๆ เจือด้วย Citrus ออกไปทางบ๊วยมากกว่าส้ม บอกได้เลยว่าดมก็ทีไม่มีเบื่อ

รสชาติ ต้องบอกว่าเป็นอีกตัวที่ร้อง "เฮ้ย" มันโดนอ่ะ เป็นรอง Macallan 25 นิดๆ
ทิ้งความเผ็ดแต่เนียนไว้ให้โหยหา เชอรี่เน้นๆ แต่ยังไม่ฟินเท่า Macallan 25
แต่ก็ลื่นจนซดหมดแก้วไปอย่างงงๆ เหมือนมาทำให้หลงแล้วก็จากไป

After Taste ทิ้งความแห้งแฝงความฉ่ำจางๆ พอให้โหยหา เผ็ดร้อนนิดๆ
อ้อยอิ่งด้วยกลิ่นไม้ไหม้จางๆ รวมแล้วประทับใจ

คหสต. แค่ได้สัมผัสเพียงครั้งก็ไม่เสียใจแล้วตัวนี้ ชอบเลยนะ แต่ด้วยราคาประมาณนี้เราเลิกกันเถอะนะคนดี พี่กระเป๋าแบน


วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Big Peat Christmas Edition

สำหรับการบ้านขวดนี้ได้รับมาจากคุณโชค เมื่อคราวสงกรานต์ที่ผ่านมาครับ

จัดเป็นครั้งแรกที่ได้ลองกับยี่ห้อนี้ ว่าแล้วเราก็มาเข้าเรื่องกันตามประสาลิ้นบ้านๆ กันดีกว่าครับ

สี ออกทางทองใสๆ

กลิ่น Peat เน้นๆ เต็มๆ เจือด้วยกลิ่นชายทะเล ไม้ไหม้แช่น้ำ แต่ก็ให้อารมณ์สดชื่นอยู่ในที เหมือนเดินเลียบชายหาด

รสชาติ ไม้ไหม้ ติดทางหวานนิดๆ ให้ความรู้สึกดีกว่า Octomore เผ็ดร้อน ควันเน้นๆ เต็มปากเต็มคำ ติดกลิ่นคาร์บอนมากกว่ารมควัน หยดน้ำลงไปค่อยดีขึ้นมาหน่อย ดื่มง่ายขึ้นแค่ติดทางขม และยังคงเผ็ดร้อน
ให้สัมผัสร้อนแรงดีชะมัด

After Taste ควันฟุ้งคลุ้งอยู่ในปาก แต่ไม่ไช่รมควัน เหมือนตกอยู่กลางวงไฟป่าที่ล้อมตัวเราไว้หมดแล้ว
ให้ความรู้สึกชาไปทั้งปาก

คหสต. ใครจะรักก็ใครจะชอบก็ช่างเถอะ ขอมุ่งทางสายหวานตามทางของตัวเองดีกว่า แนวนี้คงไม่ใช่แนวของชายจริงๆ

ปล. ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้อง
หากมีโอกาสเชิญสัมผัส และตัดสินด้วยตัวเอง
อย่ารีบเชื่อผมจนกว่าคุณจะได้ลองด้วยตัวเองครับ

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Singleton of Glen Ord 12 years old 40%



สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง ช่วงนี้ผมปลีกเวลาไปเปิดร้าน Whisky's Soul เลยทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเขียนรีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน แต่ผมไม่ได้หายไปไหนนะครับยังคงเสาะหาวิสกี้ที่เขาว่าดีว่าเด็ดมาลองอยู่เนืองๆ

วันนี้ที่หยิบเล่าสู่กันฟังเป็นวิสกี้ที่มีขายในบ้านเราแถมราคาไม่แรงประมาณพันกลางๆ ยี่ห้อ Singleton of Glen Ord เป็นวิสกี้จากโรงกลั่นชื่อ Glen Ord อยู่ในเขต Highland ของสก๊อดแลนด์ ส่วนยี่ห้อ Singleton นี้หากเพื่อนๆ ไปเมืองนอกจะเห็นบ่อยแต่ต้องอ่านข้างหลังดีๆ นะครับเพราะแต่ละขวดอาจจะมาจากโรงกลั่นอื่นอีก 4 โรงกลั่นได้แก่ Dufftown, Glengullan, Auchroisk

สำหรับโรงกลั่น Glen Ord นี้ตั้งอยู่บน Black Isle มีคำว่าเกาะแต่ไม่ใช่เกาะนะครับเป็นพื้นที่แหล่มยื่นออกไปจากแผ่นดินใหญ่ถ้าดูจากแผ่นที่อาจจะคล้ายเกาะ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1820 มีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญคือ Loch nam Bonnach และ Loch nan Eun โดยตั้งแต่ก่อตั้งก็ล้มลุกคลุกคล้านเปลื่อนมือเจ้าของบ่อยครั้งจนเจ้าของปัจจุบันคือ Diageo เจ้าพ่อน้ำเมาที่เรารู้จักกันดี รุ่นที่เราจะชิมกันวันนี้คือ 12ปี บอกตามตรงว่าผมเคยเปิดดื่มแล้วแต่ด้วยความลื่นเลยหมดไปแบบงงๆ ในคืนเดียว ไม่ได้เขียนรีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน





Appearance: สีทอง ออกส้ม ค่อนไปทางเข้ม ใส ขาขนาดกลางไหลลงยาวๆ ไม่เร็วไม่ช้า

Aroma: กลิ่นวนิลา ลูกเกด มีกลิ่นแอลกอฮอล์เล็กน้อย ประดับอบเชยนิดๆ

Taste: หวานนำ สัมผัสนุ่มนวลมาก วนิลายังเด่น มีน้ำผึ้งแทรมมาเล็กน้อย และมีเครื่องเทศเล็กน้อย

With Water: สัมผัสยิ่งนุ่มนวลกว่าเดิม กลิ่นวนิลา น้ำผึ้ง คลาเมล มันเนย

Finish: ทิ้งความเผ็ดไว้เล็กน้อย แต่ยังหวานมันภายในปากจนถึงริมฝีปากและเหลือกลิ่นไม้สดๆ ไว้สั้นๆ


สรุป: เป็นวิสกี้ที่มีความนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ ถ้าถามว่าใน range ราคาเท่าๆ กันเชื่อเลยว่า Singleton of Glen Ord 12ปี ตัวนี้ต้องถูกจัดอันดับไว้บนๆ อย่างแน่นอน แต่ที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่งคือปกติเวลาเทวิสกี้ใส่แก้วแล้วทิ้งไว้ซักพักกลิ่นของแอลกอฮอล์จะค่อยๆ จางลงไปแต่กับตัวนี้กลิ่นแอลกอฮอล์กลับเด่นชัดขึ้น ดังนั้นผมแนะนำว่าเทแล้วรีบดื่มจะได้สัมผัสที่นุ่มนวลพร้อมด้วยกลิ่นหอมหวานของถัง Ex-bourbon ที่ชัดเจน

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Octomore

การบ้านวันนี้เป็นการปันส่วนมาจาก Meeting ครั้งล่าสุดของเพื่อนชาวมักเหล้าคลับ @ กทม. ครับ
Octomore หลายคนว่ามันสุดติ่งกระดิ่งแมวมากสำหรับสายควัน

คหสต. ก่อนดื่ม อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลองเอง

ว่าแล้วเรามาเมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกันตามประสาลิ้นบ้านๆ กันดีกว่าครับ

กลิ่น Peat เจือด้วยกลิ่นทะเลจางๆ ไม่โหดร้ายเหมือน Ardbeg10 ควันเบาๆ ไม่ดุร้ายเหมือน Bowmore และ Laphroaig ส่งท้ายด้วยกลิ่นหอมๆ ของวนิลานิดๆ
ชักจะเคลิ้ม มิน่าสายควันถึงหลงกันนัก

รสชาติ..... คุณหลอกดาว!!!
กลิ่นละมุ่นแต่รสชาติเผ็ดร้อน Carbon มาเต็ม ไม้ไหม้ฟุ้งอยู่เต็มปาก ใครช่วยเรียกรถดับเพลิงให้ผมที

After Taste ไม้อะไรมาไหม้อยู่ในปากตรู ดุเด็ดชะมัด ช่างทำร้ายจิตใจสายหวานอย่างผมยิ่งนัก ToT

คหสต. หลังจากดื่ม ใครจะรักจะชอบ ก็เอาที่สบายใจเลยนะครับ ส่วนผมครั้งเดียวก็เกินพอ
Ardbeg 10 ที่ว่าชอบแต่ไม่รัก ถ้ามาตั้งให้เลือกพร้อมกัน ขอรัก Ardbeg ก็ได้ฟร่ะ

ปล. ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยครับ และอย่าเชื่อจนกว่าคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เมาไม่รั่วมั่วส่งการบ้านกับ Ardbeg Corryvreckan

การบ้านขวดนี้ถ้าจำไม่ผิดน่าจะส่งมาจากคุณแจ็ค ผมเองก็ดองไว้ค่อนข้างนานทีเดียวครับ
ต้องขออภัยด้วยครับที่เก็บมานานจนแทบจะลืมไปแล้วว่าการบ้านนี้ผู้ใดส่งมาให้
ว่าแล้วเรามาเข้าเรื่องกันตามประสาลิ้นบ้านๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยทุกครั้งกันดีกว่าครับ
ปล. อย่าเชื่อจนกว่าคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง

กลิ่น สัมผัสแรกที่ได้มันอ่อนโยนและเป็นมิตรว่าตัว Ardbeg 10 แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัวของ Ardbeg ได้ครบถ้วน
โดนเฉพาะกลิ่น Peat ที่เฉพาะตัว ตัวเนื้อควันดมแล้วค่อนข้าง Smooth ว่าตัว 10 กลิ่นตัวน้องแอลเล็กน้อย
ไม่ค่อยมีกลิ่นยางมะตอย น้ำมันเครื่องสักเท่าไหร่

รสชาติ ติดออกแนวหวานขม ให้อารมณ์ว่าจะรักหรือจะเลิกบอกไม่ถูก หลักๆ หนักไปทางยาสูบเจือด้วยความหวานนิดๆ
รวมๆ แล้วถูกโฉลกกว่าตัว 10 แต่ยังไม่รักเท่ากับ Laphroaig


After Taste ยาสูบค่อนข้างยาว และนานพอควร เหมือนสูบบุหรี่รสหวานนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ
รวมๆ จัดว่าน่าประทับใจสำหรับผมมากกว่าตัว Ardbeg 10

คหสต. กลิ่นควันของค่ายนี้หนักไปทาง Tobacco Smoke มากกว่า Peat Smoke หรือ ควันแบบอาหารรมควันของค่าย Laphroaig

Conclusion สำหรับผม ชอบแต่ไม่รักครับตัวนี้




วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Kavalan Port Cask Finish

Single Malt จากไต้หวันที่ไม่ธรรมดา
สี ออกทองอำพันเข้มๆ สักนิด ขาดูแล้วหนักใช้ได้เลยครับ
กลิ่น ตอนรินออกจากขวดครั้งแรกวูบแรกที่ได้คือกลิ่นบ๊วยชัดเจนมาก แต่เมื่อตั้งพักไว้สักครู่ กลับเปลี่ยนไปทางอโรม่ามากขึ้น พวก citrus เจือด้วยกลิ่นดอกไม้ในฤดูร้อน และกลิ่นหอมหวานๆ
รสชาติ ติดจืดไปสักนิด ให้สัมผัสวูบแรกถึงกลิ่นบ๊วยนำ มีความท้าทายไม่เหมือนที่คิดไว้นะ ให้ความรู้สึกเหมือนดื่ม Scotch ตัวเริ่มต้นที่อายุน้อยๆ มีอาการ Burn เล็กน้อยไม่มาก ทิ้งความมันและฉ่ำนิดหน่อยไว้ในปาก
After Taste ค่อนข้างสั้นไปสักนิด แต่รวมๆ ก็พอได้อยู่ ทิ้งความหอมกรุ่นจางๆ ของ Malt และกลิ่นดอกไม้ฤดูร้อนไว้ในปากพอประมาณ

คหสต. หลังฝนตกอากาศสบายๆ หยิบมานั่งเป็นเพื่อนไม่น่าผิดหวัง แต่ๆๆๆๆ จะให้ซ้ำอีกขอคิดก่อนนะ กับราคาประมาณนี้ Scotch ดีๆ สักขวดเถอะ

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Glenmorangie La santa 12 Year Olds 43%



หลังจากห่างหายไปนานกับการรีวิววิสกี้เนื่องจากผมไปทำความฝันก้าวเล็กๆ เปิดร้านวิสกี้ของตัวเอง ตอนนี้ก็มีเวลามานั่งดื่มแบบชิวๆ เล่านู่นนี้ให้เพื่อนๆ ฟังกันหล่ะครับ มองไปมองมาเห็นเหล้าในร้านมันน่ารักเลยจัดอะไรที่เคยกินแล้วแต่ไม่ได้รีวิวมาเล่าให้ฟังกันดีกว่า...กับ Glenmorangie La Santa

ภาพลักษณ์ของค่าย Glenmorangie ตามที่เขาได้บรรยายไว้ให้ลองหลับตานึกภาพของนักรบหญิงขี่ม้าถือดาบ ภาพของสวยงามแต่แอบแฝงความแข็งแกร่ง ซึ่งโรงกลั่นนี้จะสร้างสรรค์ความสมบูรณ์แบบตามชื่อของโรงกลั่น ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลแบรนด์ของสุดยอดสินค้าหรูหราจากฝรั่งเศส LVMH หรือชื่อเต็มๆ Louis Vuitton Moet Hennessy


สำหรับรุ่น La Santa ถูกต่อยอดมาจากรุ่น Sherry Wood ที่มีการบ่มในถัง ex-bourbon แล้วเปลี่ยนมาบ่มต่อในถัง Sherry จากเสปนซึ่งทางค่ายมีความชำนาญในการเล่นกับถังบ่มมายาวนาน ตัวที่ผมชิมตัวนี้เป็น 43ดีกรี ต่างกับรุ่นก่อนหน้าที่อัดมาที่ 46ดีกรี non-chill filter ตัว La Santa นั้นทำตลาดอยู่ในบ้านเรามานานแล้วจริงๆ ก็ตั้งแต่ฉลากรุ่นแรกเลยก็ว่าได้ถือว่าเป็น core range เลยก็ว่าได้ครับ




Appearance: สีแดงทอง ขาขนาดกลางไหลช้า

Aroma: กลิ่นผลแพร สาลี่สุขฉ่ำๆ เครื่องเทศอบเชย หอมหวาน

Taste: เผ็ดปลายลิ้น ซ่าทั่วปาก กลิ่นเครื่องเทศบางๆ ฝาดทั่วทั้งลิ้นมีกลิ่นผมไม้คล้ายแอ๊ปเปิ้ลเขียว

With Water: ลดความเผ็ดลง มีกลิ่นคล้ายหมาก มีความหวานแทรกเข้ามาเล็กน้อยแต่ยังคงความฝาดไว้

Finish : ออกเผ็ด ฝาด dry ติดตั้งแต่ริมฝีปากปลายลิ้น โคนลิ้น ไปจนถึงคอ มีกลิ่นให้อารมณ์คล้ายกินเปลือกองุ่น

สรุป : ผมว่ามีเอกลักษณ์ของถัง Sherry อยู่พอสมควรมีความฝาดขมคล้ายไวน์แฝงความหวานของน้ำผึ้งนิดหน่อยไม่เด่นมากรวมๆ เป็นวิสกี้ที่น่าลิ้มลองตัวหนึ่งสำหรับคนที่อยากลองวิสกี้ที่บ่มในถัง Sherry ที่ไม่ดุเดือดมากแล้วต่อยอดไปตัวอื่นต่อไปครับ