พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บ้าเหล้าทัศนะศึกษา ณ ดินแดนควัน Islay (ตอนจบ)

มาถึงตอนจบแล้วหล่ะครับ วันนี้จะพาไปดูอีก3โรงกลั่นแต่ละโรงน่าจะมีคนไทยเป็น Fan Club เยอะลองอ่านดูนะครับ

คนบ้าเหล้า
วันที่ 3 ของการเดินทางถนนสายควันวันนี้ผมเริ่มต้นด้วยอาหารเช้าเหมือนอย่างเคยพร้อม ฟังข่าวว่าวันนี้จะมีฝนไม่สดใสเหมือนเมื่อวานก็ต้องทำใจกันไปเพราะต้องยอม รับอย่างหนึ่งว่าที่นี่พยากรณ์อากาศแม่นมากถ้าบอกฝนจะตกบ่าย 2 มันก็ตกบ่าย 2 จริงๆ แต่ไม่เป็นไรแค่นี้เรื่องเล็ก เอาหล่ะได้เวลา 8.45น. ล้อหมุนเหมือนเคย โรงกลั่นแรกที่เราจะไปดูกันวันนี้ผมเชื่อว่ามีเพื่อนๆ หลายคนเป็นแฟนคลับอย่างแน่นอนครับ ขับรถลงมาทางใต้ของเกาะประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงผ่านอดีตโรงกลั่น Port Ellen โรงกลั่นนี้เคยเป็นโรงกลั่นที่รุ่งเรืองมากครับ แต่ทุกวันนี้ก็ยังเปิดกิจการอยู่แต่ไม่ได้กลั่นเหล้าแล้วครับ ทำแต่ Malt ส่งให้กับโรงกลั่นในเครือของ Diageo เท่านั้น แต่เค้าก็ยังคงบ่มวิสกี้บางส่วนไว้อยู่ครับซึ่งนานๆ ทีจะมีบรรจุออกมาขายซักทีซึ่งแต่ละขวดที่ออกมารุ่นหลังๆ นี่อายุต้องมียี่สิบปลายๆ เป็นที่หมายปองของนักสะสมยิ่งนักราคาเลยยิ่งสูงปรี๊ด ถ้าใครอยากเที่ยวชมอดีตโรงกลั่นนี้ก็ต้องวางแผนล่วงหน้าครับเพราะเค้าจะเปิด ปีละ 1 ครั้งในช่วงงาน Islay Festival เท่านั้นครับ ขับเลย Port Ellen มาซักพักเราก็มาถึงโรงกลั่น Ardbeg เป้าหมายช่วงเช้าของเราค่าเข้าชมมี 2 ราคาครับ 5ปอร์นได้เข้าชมรวม 1 ดื่มและแบบ 10ปอร์นได้เข้าชมรวม 5ดื่ม สำหรับผมตอบไปเลยง่ายๆ ขอ 5ดื่มครับ ระหว่างรอเข้าชมก็เดินดูร้านค้าไปพรางเท่าที่เห็นก็มีวิสกี้อยู่ 3รุ่นได้แก่ 10ปี  Corryvreckan และ Uigeadail และพวกเสื้อผ้าของที่ระลึกต่างๆ

ถึง Ardbeg แล้วครับ

และแล้วก็ถึงเวลาพนักงานสาวผู้บรรยาย...อีกแล้วรู้สึกที่นี่จะไม่ค่อยใช้ ผู้ชายกัน ก็พาเข้าชมโรงงานในช่วงแรกแกก็เล่าเรื่องประวัติโรงกลั่นยาวมากผมจะขอเล่า แบบเนื้อๆ หล่ะกันครับโรงกลั่นนี้เปิดประมาณปีค.ศ. 1798 และเริ่มทำเป็นการค้าช่วงปี 1815 และในปี 1886 ถือเป็นยุคทองของ Ardbeg สามารถผลิตวิสกี้ได้ถึง 300,000 แกนลอนต่อปี แต่เมื่อมาถึงช่วงปี 1970 ก็ถือเป็นยุคที่ตกต่ำของวิสกี้จากเกาะ Islay ครับมีโรงกลั่นในเกาะทยอยปิดหลายโรง ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ Ardbeg เองก็หยุดทำมอลต์เองในปี 1977 และในปี 1981 ทางโรงกลั่นก็ปิดตัวลง และกลับมาเริ่มดำเนินกิจการอีกครั้งในปี 1989 สุดท้ายในปี 1997 โรงกลั่นก็ถูกซื้อโดย Glenmorangie ครับซึ่งผมคิดว่าถ้าใครที่ตามดื่ม Glenmorangie จะรู้สึกว่า Ardbeg จะออกผลิตภัณฑ์ที่มีการตลาดคล้ายกัน เมื่อฟังบรรยายจบก็พาไปดูห้องที่เคยทำมอลต์ครับซึ่งเป็นอดีตไปแล้วที่ต่อมา ก็เป็นการโม่ก็จะคล้ายๆ โรงกลั่นที่แล้วๆ มา แต่โรงกลั่นนี้ก็จังหว่ะดีครับเค้ากำลังทำ Mash พอดีก็เลยได้ดูเพิ่มครับ Mash คือการเอามอลต์ไปผสมเคี่ยวกับน้ำร้อนเพื่อให้แป้งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลซึ่งน้ำ ที่ได้จากขั้นตอนนี้ก็จะถูกไปหมักกับยีสต์เป็น Wash ต่อไปครับในส่วนต่อมาก็เป็นของทำ Wash ห้องนี้แม้ผมจะผ่านมา 2 โรงกลั่นแล้วก็ยังทำใจให้คุ้นไม่ได้กลิ่นมันแรงมากๆ เลยครับยิ่งที่ Aedbeg ถือว่าหนักสุดครับ ต่อมาเป็นห้องกลั่นครับที่นี้จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปจึงไม่ได้เก็บภาพมาฝาก ครับ สุดท้ายก็เป็นห้องบรรจุลงถังมีอุปกรณ์บรรจุและตราชั่งน้ำหนักถังและวิสกี้ ครับ ซึ่งผมและท่านผบ.ก็แอบไปชั่งพบว่าน้ำหนักมันขึ้นมาคนละ 5กิโล ผมเดาว่าเค้าต้องถ่วงอะไรไว้แน่ๆ

เครื่องโม่มันเป็นอย่างนี้ครับ

โม่ออกมาแล้วจะเป็นแบบนี้ครับ ส่วนที่นำใช้คือ Grist ครับ

การ Mashing ข้างในจะอุ่นๆ

ถัง Wash ใหญ่ไหมครับ

ถังนึงสูงประมาณ 3-4 เมตรได้ครับ
ออกมาจากห้องบรรจุถังแล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือชิมครับ แอบเสียดายไม่ได้ดูโรงบ่มครับวันนี้ผมเลือกชิมทั้งหมด 5 ตัวครับตัวแรกสุดเป็น Blasda ตัวนี้เค้าเครมว่าเป็น Ardbeg แบบดั้งเดิมไม่มีกลิ่นควันครับรสชาติหวาน กลิ่นออกมะนาว เลมอน กลิ่นใบสะระแหน่หอมสดชื่นดื่มง่ายจบไปแบบ Dry ต่อมาตัว 10ปีตัวนี้ควันมาหนักเลยครับไม้ไหม้ หญ้าแห้งๆ แซมด้วยวนิลาหน่อยๆ จบไปกลางๆ ยาวๆ ต่อมาเป็น Alligator ตัวนี้หาค่อนข้างจะยากซักหน่อยโดยส่วนตัวผมว่าตัวนี้จะคล้ายตัว 10ปีแต่รสชาติและน้ำหนักจะเบาลงมาหน่อยดื่มง่ายครับ ส่วน 2 ตัวสุดท้ายเป็น Uigeadail(อู-กา-เดา) และ Corryvreckan 2 ตัวนี้รสคล้ายกันคือกลิ่นหนัง ยางไหม้ แว๊กส์ บอร์ดี้กลางๆ จบไปแบบไหม้ทุกซอกฟัน(ในมุมส่วนตัวไม่ค่อยชอบครับ) ในระหว่างชิมก็ได้พูดคุยกับนักชิมอีกกลุ่มครับพอดีว่าผมชิมแบบ 5 ตัวเค้าเลยปิดห้องไม่อย่างนั้นคนที่ชิบแบบ 1 ตัวจะเดินเข้ามาเนียนด้วยครับ ผมเล่าให้เค้าฟังว่าในประเทศไทยวิสกี้ไม่หลากหลายมีอยู่ไม่กี่ยี่ห้ออย่าง Ardbeg นี่ไม่มีขายทั่วไปต้องหิ้วมากินเท่านั้นน่าเศร้าครับ เค้าก็บอกว่าในประเทศไทยตลาดน่าจะไม่เปิดช่องให้วิสกี้แบรนด์อื่นๆ เลยยังไม่อยากไปลงทุน ก็คุยกันพักใหญ่ผมก็ออกมาทานข้าวและเตียมออกเดินทางสู่จุดหมายต่อไป

เครื่องบรรจุเหล้าใส่ถังครับ

ลองเปรียบเทียบไม้ที่ใช้ทำถังดูครับ แบบเผากับไม่เผา กลิ่นต่างกันมากครับ

ขอท่านผบ.ไปตั้งที่บ้านซักชุด (ท่านตอบว่ายอมมาด้วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว)

ลองแบบเต็มๆ 5 ตัวรวด รู้สึกได้ว่าปากพองเบย
อยากได้อันนี้อะ
ทานระหว่างอาหารที่ Ardbeg เบียร์ Islay Ales ตัวนี้เป็น Finlaggan Ale ชอบสุดๆ ครับ หอมสมุนไพร รสขมชัดเจนถ้าได้มาเที่ยว Islay อย่าลืมลองนะครับ





หลังจากพักทานอาหารเที่ยงที่ Ardbeg เป็นที่เรียบร้อยเราก็ขึ้นรถเดินทางไปเที่ยวชม The Kildalton High Cross ซึ่งเป็นไม้กางเขนที่มีอายุกว่า 1,300ปี เป็นหลักฐานว่าศาสนาคริสต์ได้เผยแพร่เข้ามาในสกอตแลนด์เมื่อ 1,300ปีที่แล้วโดยบนการเขนจะมีภาพแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อยู่ด้วยครับ หลังจากถ่ายรูปเป็นที่พอใจแล้วก็นั่งรถย้อนกลับมาเพื่อชมโรงกลั่นที่ผมเองก็ เป็น Fan Club และเพื่อนๆ หลายคนก็น่าจะรู้จักดีในนามน้องสาหร่าย Laphroaig นั่นเองโรงกลั่นนี้เมื่อเข้ามาด้านในเค้าจะมีโปรแกรมให้สมัคร Friend of Laphroaig ครับใครสมัครจะได้วิสกี้ขวดน้อย 1ขวดก็อยู่ที่ว่าช่วงนั้นเค้าแจกตัวไหนนะครับ สำหรับผมที่ได้มาเป็นตัว 10ปี Cask Strength เยี่ยมไปเลย นอกจากวิสกี้แล้วเค้าจะให้เราเอาธงชาติของเราไปปักที่หน้าโรงกลั่นด้วยครับ เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว สำหรับการเข้าชมที่นี่จะเสียค่าใช้จ่ายคนละ 6ปอร์นพร้อม 1 ดื่มครับ ซึ่งพี่คนขับรถบอกว่าดื่มแล้วไปคุยกับเค้าดีๆ จะขอชิมตัวอื่นเพิ่มได้ครับ คณะผมก็เข้าเกือบหมดทุกคนยกเว้นพี่รถถังรัสเซียแกบุกมาซื้อเหล้าแล้วหาทำเล เหมาะๆ นั่งดื่มยาวเลยครับ(พี่แกแน่นอนจริงๆ) อันนี้ต้องยอมรับอย่างนึงครับว่าการเที่ยวโรงกลั่นเหล้าเนี่ยโรงแรกๆ มันก็ตื่นตาตื่นใจครับแต่พอหลังๆ มันเหมือนฉายหนังซ้ำเพราะขั้นตอนจะซ้ำๆ กันอาจจะมีเทคนิกต่างกันนิดหน่อยหรือบางจังหว่ะเค้าทำกิจกรรมอะไรกัน แต่ถ้าคนที่ไม่ได้สนใจอย่างท่านผบ.ก็เซ็งครับ แต่สำหรับผมยังคงตื่นตาตื่นใจทุกโรงกลั่นเหมือนเดิมเพราะได้ดูการวาง Layout รูปแบบอุปกรณ์ได้เพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ หรือแก้ไขข้อมูลเก่าๆ มันทำให้รู้สึกว่าเจอสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลาครับ พอได้เวลาเจ้าหน้าที่สาว(...อีกแล้ว) ก็พาเราเดินเที่ยวครับในช่วงแรกก็เล่าประวัติครับโรงกลั่นนี้เริ่มดำเนินกิจ การปีค.ศ. 1810 และเริ่มดำเนินกิจการวิสกี้ปี 1815 ในปี 1887 พบว่า Laghroaig มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เพราะคุณภาพน้ำต่างกับที่อื่น ในปี 1923 ทางโรงกลั่นเริ่มใช้ถัง ex-bourbon และเริ่มส่งออกวิสกี้ช่วงปี 1929 และในปี 1994 ได้เริ่มกิจกรรม Friend of Laphroaig ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 500,000คน หลังจากฟังบรรยายแล้วก็ไปดูขั้นตอนแรกคือการทำมอลต์ครับซึ่งเป็นขั้นตอนที่ สำคัญมาก

คู่กับ The Kildalton High Cross ของจริงอันใหญ่มาก
ถึงแล้วครับ

พี่รถถังรัสเซียในตำนาน


รถมาส่งข้าวBarleyพอดี

ห้องทำมอลต์ใหญ่มาก มีหลายชั้นด้วยครับ
โดยทางโรงกลั่นได้ให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้เป็นพิเศษจังหว่ะที่ผมไปก็ถือ ว่าโชคดีอีกครับเพราะเค้ากำลังรมควันมอลต์ด้วย Peat ball ครับ (Peat ball คือซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมกันมานานจะมีลักษณะคล้ายดินซึ่งที่เกาะ Islay สามารถพบ Peat field ได้มากกว่า 30% ของพื้นที่เกาะเพียงขุดลงไปในดินประมาณ 1-2 เมตรก็จะพบพลังงานฟรี ซึ่งนอกจากจะใช้รมควันมอลต์แล้วคนท้องถิ่นยังใช้ในการให้ความร้อนเตาผิงด้วย ครับ) ในห้องที่รมควันมอลต์จะมีอุณหภูมิประมาณ 60-70องศารมควันอยู่ประมาณ 3-7วันก็เป็นอันใช้ได้ครับซึ่งมอลต์ที่ผ่านการรมควันแล้วจะมีความแห้งมีรส หวานหอมแบบไหม้ๆ ครับ แล้วเราก็ไปดูเตาเผา Peat กันต่อครับเมื่อผมลองเอามือไปอังดูก็รู้สึกอุ่นๆ ไม่ร้อนอย่างที่คิด แล้วก็เดินไปดูการทำ Mash และ Wash ตามลำดับถัง Wash ที่นี้เป็นสเตนเลสขนาดใหญ่ซึ่งผมเองก็ได้ชิม Wash ที่นี่ด้วยครับรสชาติก็คล้ายเบียร์กลิ่นบูดๆ ไหม้ๆ ไม่ซ่าและไม่อร่อย ผมได้ถามเจ้าหน้าที่ว่าถังที่เห็นอยู่นี้หมักมากี่วันได้รับคำตอบว่า 28วัน(นานกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ) เสร็จแล้วก็เดินไปดูหม้อกลั่นซึ่งมีถึง 7 หม้อครับแบ่งเป็นหม้อกลั่น Wash 4หม้อและหม้อกลั่นเหล้าอีก 3หม้อ

มอลต์จะมีรากงอกออกมาครับ

ห้องรมควันเข้าไปออกมาทีอย่างกับไปร้านหมูกะทะ

ลองอังดูไม่ร้อนอย่างที่คิดครับ
หม้อนี้แลหมักมาแล้ว 28วัน

หม้อกลั่น 7หม้อเรียงราย
ส่วนตรงกลางจะเป็นตัว Cutting ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความชำนาญอย่างมากเพราะเป็นการคัดเลือกเหล้า เพื่อส่งไปบรรจุลงถังโดยอุปกรณ์จะมีลักษณ์เป็นตู้มีกระจกเพื่อดูด้านในมอง เห็นน้ำเหล้าที่กลั่นออกมาหากน้ำเหล้ามีคุณภาพไม่ดีก็จะถูกส่งไปกลั่นใหม่ และหากได้คุณภาพที่ดีก็จะสับวาร์วไปสู่การบรรจุถังต่อไป สุดท้ายก็มาดูห้องบ่มเหล้าครับเก็บจนได้อายุที่เหมาะสมก็จะถูกบรรจุขวดต่อไป ดูจบก็มาถึงการชิมครับโดยวันนี้ที่ได้ชิมเป็นตัว Quarter Cask กลิ่นน้องสาหร่ายเอกลักษณ์ของเค้านำมาเลยครับรสชาติหวาน เค็มนิดๆ สัมผัสเผ็ดกว่าตัว 10ปี กลิ่นยา โรงพยาบาล น้ำยาเช็ดทำความสะอาด ควันมาอ่อนๆ คล้ายตัว 10ปีแต่อ่อนกว่ารวมๆ ผมชอบครับ และตามที่พี่คนขับรถแนะนำผมก็เนียนไปขอชิมเพิ่มก็เป็นตัว Triple Cask ตัวนี้โดยรวมคล้าย Quarter Cask  สัมผัสใกล้เคียงกันพอสมควรที่ต่างน่าจะเป็นจังหว่ะของรสชาติที่ค่อยๆ มา และนุ่มกว่าหน่อย ตามด้วยตัว 18ปี ตัวนี้ราชาติคล้าย 10ปีแต่บอร์ดี้มันนุ่มและฉ่ำอบอวลด้วยกลิ่นควัน อกเชย บอกได้เต็มปากว่าโคตรประทับใจ กูรูประจำกรุ๊ปก็เชียร์ตัวนี้สุดๆ ผมลองคำนวณเป็นเงินไทยประมาณ 3,400บาท ถ้าคืน vat อีกเหลือ 3,060บาทโคตรคุ้ม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อมา(ตอนนี้เสียดายมากครับ) หลังจากชิมเหล้าเสร็จก็แวะปักธงชาติ(ฝีมือท่านผบ.)บอกให้ชาวโลกรู้ว่าคนไทย ก็มาเหยียบแล้วนะจ๊ะก่อนขึ้นรถไปโรงกลั่นสุดท้ายของทริปนี้ครับ

การคัดเลือกน้ำเหล้าต้องใช้อุปกรณ์ตัวนี้ช่วยครับ

โรงบ่มวิสกี้ครับ อยากจะงัดลูกกรงเข้าไปแล้วเอาหลอดดูดครับ

ที่ไปเนียนขอชิมเพิ่มมา รสชาติดีเลยครับอยากได้ซักขวดจัง

ทั้งทริปนี้ผมชอบขวดนี้สุดครับ น้ำหนักดีมากๆ เลยครับ ตอนนี้เสียดายไม่ได้ซื้อ

ปักธงชาติแล้วนะครับ (แต่ป่านนี้คงแปลงสภาพเป็น Peat ไปเรียบร้อย)
และแล้วก็มาถึงโรงกลั่นสุดท้ายในทริปนี้ โดยขับรถออดจาก Laphroaig ประมาณไม่ถึง 5 นาทีอะไรจะเร็วปานนั้นยังไม่ทันส่างเลยก็มาถึงซะแล้ว Lagavulin (ลา-กา-มู-ลิน) เมื่อก่อนที่ผมเพิ่งจะรู้จัก Single Malt Whisky ใหม่ๆ ก็มีเจ้านี่แหละที่มักจะอ่านเจอในบทความบ่อยๆ ว่ามันเทพมากเป็นที่ใฝ่หาของนักดื่ม Single Malt Whisky ซึ่งเท่าที่ผมคุยกับสมาชิกทุกคนก็ล้วนแต่อยากลองตัวนี้กันและผมเองก็เป็น หนึ่งในคนเหล่านั้น(ช่วงพีทสุดๆ ผมมีเก็บไว้ 5ขวดเพราะกลัวหาไม่ได้แต่ตอนนี้กินเกือบหมดแล้ว) โดยก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนรีวิวไปแล้ว 3ตัวผมยอมรับครับมันไม่ได้มีดีแต่ชื่อ เมื่อมาถึงโรงกลั่นแล้วเข้าไปด้านในก็เป็นร้านขายสินค้ามีวิสกี้ Lagavulin อยู่ 3 ตัวครับที่หน้าสนใจคือตัว 16ปีพร้อมลายเซ็น Master Blender ครับ โรงกลั่นนี้เราจะไม่ได้เที่ยวชมกันแต่ได้ลองชิมวิสกี้ 3 ตัวพร้อมเอาแก้วกลับบ้านได้ในราคา 6ปอร์นครับ ผมเองก็คงต้องขอจัดครับ ทั้งที่ทั้งวันซัดเหล้าไปแล้ว 9แก้ว+เบียร์อีก 1 ขวด นาทีนี้คงไม่มีอะไรจะฟินเท่าดื่ม Lagvulin ที่โรงกลั่น Lagavulin ครับ

Lagavulin ที่ตั้งโรงกลั่นสวยมากเลยครับ

ถึงแล้วครับ ตอนนี้เริ่มตึงๆ แล้วครับ
ตัวแรกที่ได้ลองเป็นตัว 16ปี...ตัวนี้ผมขอผ่านครับ ตัวต่อมาเป็น Double Matured Lgv 4/500 เป็นตัวล่าสุดที่วางขายปีนี้ครับการ Double Matured เป็นการนำวิสกี้ ไปบ่ม 2ครั้ง ซึ่งอาจเป็นการบ่มถังแรกแล้วไปต่อถังสอง(ส่วนใหญ่จะเรียก Cask Finish) หรือการเอาวิสกี้ถังต่างชนิดกันตั้งแต่ 2ถังขึ้นไปมาผสมกันและบ่มต่อในถังที่ 3 ครับตัวนี้สัมผัสจะนุ่มนวลหน่อยครับ กลิ่นควันสมดุลมากับกลิ่นหวานๆ แนววนิลา คลาเมล ไวท์ช๊อกโกแลต อกเชย บอร์ดี้กลางไปทางเต็มจบยาวๆ ตัวต่อมาเป็น 12ปี Cask Strength บรรจุปี 2012 ดีกรีความแรงที่ 56.1%การบรรจุแบบ Cask Strength คือการบรรจุเหล้าลงขวดแบบบรรทุกดีกรีแอลกอฮอล์มาเต็มๆ ไม่มีการผสมน้ำครับ ซึ่งเหล้าส่วนใหญ่ที่เราดื่มๆ กันหากสังเกตุดีๆ จะดีกรีประมาณ 40% ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างครับเช่น กฎหมาย การตลาด รสชาติ อันนี้ก็ว่ากันไป(ถ้าใครบอกกินเหล้าตัวนี้เมาตัวนั้นไม่เมา...ผมว่าโคตรมั่ว ถ้าดีกรีมันเท่ากันกินยังไงก็เมาเท่ากันครับ) สัมผัสตัวนี้ออกเผ็ดครับรสชาติหวานๆ เค็มๆ กลิ่นควันชัดมากกว่าตัวที่แล้วจนบังพวกความหอมหวานของคลาเมล เนย วนิลา บอร์ดี้กลางๆ จบไปยาวๆ โรงกลั่นนี้ผมชอบเอกลักษณ์ของเค้าตรงเรื่องของสมดุลของกลิ่นควันและบอร์ดี้ ที่ดีครับ หลังจากชิมและซื้อของเสร็จผมก็กลับไปทานดินเนอร์สุดหรูกับท่านผบ. ก่อนจะเดินทางกลับลอนดอนในวันถัดไปครับ และผมขอจบการเล่าประสบการณ์การทัศนะศึกษาแต่เพียงเท่านี้ครับ

Double Matured Lgv 4/500 ดื่มแล้วหลงรักเลย ฝีมือจริงๆ ครับ
Lagavulin 12ปี Cask Strength 2012 ยังคงความสดได้เต็มๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

โบกรถกลับหล่ะครับ
ในการเดินทางครั้งนี้ผมได้ประสบการณ์เยอะมากครับมีหลายๆ เรื่องที่ไม่ได้เอามาเขียนหากเพื่อนๆ อยากทราบข้อมูลวิสกี้เพิ่มเติมก็สอบถามเข้ามาได้ครับ หรือสนใจจะมาเที่ยว Islay ต้องศึกษาข้อมูลซักนิดเพราะที่เกาะนี้ไม่ได้เปิดรับนัดท่องเที่ยวตลอด และการเดินทางทางบก+น้ำต้องเผื่อเวลาเดินทางไป-กลับไว้เลย 2วันแต่หากใครไม่อยากนั่งยาวขนาดนี้ที่เกาะก็มีสนามบินครับซึ่งก็ต้องดู ตารางการบินให้ดีๆ ใครสนใจจริงๆ ผมยินดีให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ครับ

ร้าน Loch Fyne Whiskies ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบ Fyne เป็นร้านจำหน่ายวิสกี้ที่ได้รับรางวัลเยอะมากมีวิสกี้ที่เป็นแบรนด์ของร้าน และที่สำคัญวิสกี้เยอะจริงๆ ราคาก็ดีด้วยครับ วันเดินทางกลับจึงต้องแวะซื้อติดมือมาซะหน่อย
 ติดตามพวกเราได้ทั้งทางทั้ง Blog เย็นย่ำก็ร่ำสุรา Webboard http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=2174.0 และ https://www.facebook.com/yenyumramsura นะขอรับกระผม

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บ้าเหล้าทัศนะศึกษา ณ ดินแดนควัน Islay (ตอนแรก)


คนบ้าเหล้า

สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากที่ผมได้เขียนรีวิววิสกี้ไปเมื่อเดือนที่แล้ว เข้าเดือนใหม่ก็ต้องหาของมารีวิวกันอีกซักตัว...แต่รีวิวของเดือนนี้ผมขอ เล่าถึงประสบการณ์ไปทัศนะศึกษาในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาครับ โดยการไปทัศนะศึกษาในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณท่านผบ.ทบ.(ภรรยาที่เคารพ) ที่ให้การสนับสนุน พี่เก่งที่เป็นผู้ให้แรงบันดาลใจตั้งแต่ผมเริ่มมาบ้าเหล้า และเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สมาชิกมักเหล้าคลับทุกคนที่เป็นกำลังใจถีบให้ความบ้าเหล้าของผมถึงขีดสุด


ก่อนเข้าเรื่องผมขอเล่าที่มาซักนิดนะครับคือผมเองเริ่มต้นก็เป็นคนที่ดื่ม เหล้าธรรมดาตามโอกาสเหมือนคนทั่วไป แต่อยู่มาวันหนึ่งเมื่อประมาณ 5ปีที่แล้วนั่งคิดอะไรเพลินๆ แล้วเกิดความสงสัยว่าเหล้า Blue Label ที่ขวดนึ่งราคา 7-8พันบาทนี่คือสุดยอดวิสกี้จริงหรือ ด้วยความขี้สงสัยของมนุษย์จึงต้องหาคำตอบจากอากู๋ จนมาทราบว่าวิสกี้ในโลกนี้มันมีมากมายหลายชนิด อ่าว...เป็นกบมาตั้งนาน (ถ้าเพื่อนๆ คนไหนยังไม่ทราบชนิดของวิสกี้ลองหาข้อมูลดูครับทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษมีเยอะมาก) ซึ่งตัว Blue Label ก็ถือเป็นระดับบนของ Blend Whisky อ่าวแล้วอะไรหล่ะที่เหนือกว่า Blend Whisky ผมก็มาพบวิสกี้อีกชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนผสมของ Blend Whisky นั้นคือ Single Malt Whisky เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยเลยเอาซะเลย เอาหล่ะผมก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยพบว่า Scotch Single Malt Whisky มันถูกแบ่งรสชาติออกเป็นเขตที่ผลิต ได้แก่ Highland, Lowland, Speyside, Campbeltown, Islay, Island เอาหล่ะงั้นก็ต้องเริ่มหามาลองให้ครบทุกเขตจากวันนั้นผ่านมาอีก 2 ปีทั้งลองชิม หาข้อมูลในอินเตอร์เนท อ่านหนังสือ แลกเปลี่ยนทัศนะคติกับเพื่อนๆ จนมารู้ตัวว่า ชอบวิสกี้ที่มีกลิ่นควันที่มีกลิ่น รสที่ค่อนข้างหนักถ้าเปรียบเป็นมวยก็รุ่น Heavyweight คือเน้นหมัดหนักไม่เน้นความพริ้ว งั้นขอเป็นผู้เสพควันหล่ะกัน(ใครตามอ่านรีวิวของผมช่วงปีหลังๆ มานี้จะหนักไปทางวิสกี้ที่มีกลิ่นควัน) เจอวิสกี้ที่มีควันที่ไหนวิ่งเข้าใส่หมดเวลาไปคุยกับใครผมก็เชียร์ไปทางสาย ควันตลอด ซึ่งโรงกลั่น Single Malt Whisky หลายๆ โรงที่มีชื่อเสียงก็คงหนีไม่พ้นเกาะ Islay คิดได้ดังนั้นก็...เกิดอาการอยากไปอะ แล้วจะไปยังไงหล่ะทัวร์ไป Scotland เค้าก็จะพาไป Edinburgh ต่อเองไป Highland ไป Lowland ยังพอได้อยู่เพราะทางราบ แต่จะไปเกาะนี่มันดูยากจัง แต่ฟ้าก็ประทานความช่วยเหลือจากคุณกอปสมาชิกที่ไปเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ช่วยแนะนำให้ และด้วยเวลาที่ลงตัวมากๆ จึงเกิดการทัศนะศึกษาที่เกาะ Islay ครั้งนี้ขึ้น



มาพบคุณกอปที่ London ก่อนเดินทาง
 


การไปทัศนะศึกษาครั้งนี้เริ่มต้นที่เมือง Edinburgh นั่งรถ Mini Bus โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงไปที่เมืองท่า Oban ที่เมืองนี้มีโรงกลั่น Oban ที่มีชื่อเสียงครับผมได้เข้าไปดูตรง Shop และถ่ายรูปหน้าร้านแอบเสียดายที่ไม่ได้เข้าชมเพราะเวลามีจำกัดแต่ไม่เป็นไร เป้าหมายของเราคือเกาะ Islay นั่งรถต่อไปอีกประมาณเกือบ 2ชั่วโมงซึ่งก็ได้แวะตามวัดเก่าๆ บ้างก่อนจะถึงท่าเรือ Kennacraig เพื่อนั่งเรือข้ามไปที่เกาะ บนเรือมีทั้งอาหารเครื่องดื่มแบบครบครับ และที่แน่ๆ วิสกี้จากเกาะ Islay มีครบทุกตัวขายในราคาเพียงดื่มละร้อยกว่าบาท


รถคู่กายนั่งได้ 17ที่นั่งพร้อมคนขับ
วัดระหว่างทาง
แกะมากมายที่ไม่ต้องไปดูไกลถึงสวนผึ้ง

ท่าเรือ Kennacraig
นอกจากวิสกี้แล้วยังมี Islay Ales อีกครับ
ระหว่างทางก็แอบเห็นเกาะ Jura เป็นสัญญาณว่าเราใกล้จะถึงกันแล้วครับ โดยใช้เวลาบนเรือเกือบๆ 2ชั่วโมง และหลังจากนั้นก็นั่งรถต่อมาอีกเกือบๆ 1 ชั่วโมงเพื่อมาพักที่เมือง Bowmore ครับ อยากจะอธิบายความรู้สึกว่าเฮ้ยมาถึงแล้วหว่ะไอ้ที่เราหลงไหลมันอยู่ตรงหน้า แล้วอีกแค่วันเดียวเราก็จะบุกเข้าไปยึดตีเป็นเมืองขึ้นซะ 555


ใกล้ถึงแล้วครับทางซ้าย Islay ทางขวา Jura

ถึงเมือง Bowmore โดยไม่ต้องสืบเพราะจอดรถหน้าโรงกลั่น Bowmore กันไปเลย

 วันที่ 2 ของการเดินทางผมตื่นมากินอาหารเช้าชมวิวของเกาะ Islay อะไรมันจะแจ่มขนาดนี้วันนี้ผมต้องออกเช้ากว่าชาวบ้านนิดหน่อยเพราะผมพักอยู่ ที่พักเดียวกับคนขับรถต้องออกก่อนเพื่อไปรับสมาชิกร่วมทางท่านอื่นๆ โดยที่พักของผมเป็นบ้านเล็กๆ มีห้องนอนไม่กี่ห้อง เพราะที่เกาะ Islay เป็นเกาะขนาดกลางเนื้อที่ประมาณ 239sq.mi. มีคนอยู่ประมาณ 3พันกว่าคน ส่วนใหญ่ทำประมง ทำฟาร์ม หรือไม่ก็ทำโรงกลั่น ในปีนึงมีคนเข้าไปเที่ยวประมาณ 4-5หมื่นคน ดังนั้นถ้าเทียบกับภูเก็ตบ้านเราที่มีคนมาเที่ยวปีละ10ล้านคน เรื่องความสะดวกสบายจึงแตกต่างกันมาก เอาหล่ะเมื่อได้เติมพลังด้วยอาหารเช้าฝีมือเจ้าของบ้านแล้วเราก็มุ่งหน้าไป รับเพื่อนสมาชิกท่านอื่นๆ เพื่อบุกตีเป้าหมายแรกคือโรงกลั่น Kilchoman จุดยุทธศาสตร์ทางทิศตะวันตกของเกาะขับรถไปประมาณ 45นาที


หาด Machair Bay แวะกระโดดเพื่อความสะใจ-แดดอย่างนี้แต่อากาศหนาวมากครับ

ภาพตำแหน่งของโรงกลั่นต่างๆ บนเกาะ Islay

เมื่อมาถึงผมก็ไม่รอช้าบุกทะลวงโดยเสียค่าใช้จ่าย 6ปอร์น เข้าไปถึงก็มีผู้เชี่ยวชาญสาวเป็นผู้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษไม่มีsub โดย Kilchoman เป็นโรงกลั่นน้องใหม่มีเหล้าที่บรรจุถังแรกคือเมื่อเดือนธันวาคม 2005 ตัวโรงกลั่นเองเป็นโรงกลั่นขนาดเล็กมีกำลังการผลิตติด Top 10 จากท้าย แต่ใช่ว่าน้องใหม่จะธรรมดาครับเพราะจุดเด่นของเค้าคือเค้าใช้ข้าว Barley ที่ปลูกเองมากกว่า 50% ในการผลิตมอลต์ ซึ่งโรงกลั่นส่วนใหญ่จะซื้อบาร์เล่ มาทำมอลต์ หรือบางที่ก็ซื้อมอลต์มาเลยก็มี แต่น่าเสียดายวันนี้ไม่ได้ดูการทำมอลต์เพราะว่าเค้ายังมีค้างสต๊อกอยู่ก็บุก ต่อไปที่ห้องทำWash (Wash คือน้ำที่ได้จากการเอามอลต์ไปโม่แล้วเอาปลายข้าวที่ได้ไปผสมกับน้ำร้อนเพื่อ ให้เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลก่อน และนำน้ำที่ได้ไปใส่ยีสต์หมักให้เกิดแอลกอฮอล์) ซึ่งผมได้มีโอกาสชิมรสชาตินั้นมันเกือบจะเหมือนเบียร์ไม่ซ่าเข้มข้นออก เปรี้ยวๆ กลิ่นออกบูดๆ แอบติดควันปลายนวม ไม่อร่อย 


ถ่ายกับป้ายซักนิด
มอลต์เป็นอย่างนี้นะเธอ
Peat วัตถุดิบสำคัญสำหรับรมควันมอลต์(ไว้จะเล่าให้ฟังต่อไปครับ)
Wash มันเป็นอย่างนี้
กิน Wash ซะเลย จอกร่วมสาบานแถม กินไม่หมดเทกลับลงไปอีก รับประกันได้ว่ารุ่นที่จะผลิตออกมาขายอีก 3ปีข้างหน้ามีขี้ฟันของผมแน่นอน

ต่อมาเป็นห้องกลั่นที่นี่มีหม้อกลั่นเพียง 2 หม้อครับแต่ก็ถือว่าเพียงพอซึ่งการกลั่นจะแบ่งออกเป็น 2 จังหว่ะคือ กลั่นWash จะได้เหล้าที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 20%แล้วจึงนำไปกลั่นต่ออีกหม้อให้ได้แอลกอฮอล์ประมาณ 60% เป็นอันใช้ได้ซึ่งบางโรงกลั่นอาจจะมีการกลั่นครั้งที่ 3ก็แล้วแต่สูตร ที่โรงกลั่นนี้ผมโชคดีได้ชิมทั้งตัว 20% และ 60% บอกตรงๆ จากใจเลยครับว่ามันมีกลิ่นควัน หญ้าแห้ง ใครว่าเหล้ากลั่นออกมาไร้รสไร้กลิ่นตอนนี้ผมกล้าเถียงแล้วครับ ต่อมาก็เป็นการบรรจุใส่ถังครับซึ่งถังส่วนใหญ่จะเป็นถัง ex-bourbon มาจากอเมริกาบ่มในถังอย่างน้อยอีก 3ปีแล้วจึงบรรจุขวดถึงจะสามารถเรียกวิสกี้ได้ตามกฎหมายของสก๊อตแลนด์ครับ ส่วนสุดท้ายอาจเรียกว่าเป็น Highlight ของการเที่ยวชมที่ทุกคนรอคอยคือชิมวิสกี้ โดยมีให้ลองด้วยกัน 2 รุ่นครับ ตัวแรกคือ 100% Islay ตัวนี้กลิ่นควันเด่นมากกลิ่นยาขมๆ ไม้ไหม้ออกจมูกรสเผ็ดบอร์ดี้จบไปแบบ Light หน่อยครับ อีกตัว Machair Bay ตัวนี้นุ่มนวลลงมาหน่อยมีกลิ่นวนิลามาจางๆ บอร์ดี้กลางๆ ดื่มง่ายกว่าตัวแรกเยอะครับถ้าให้ซื้อกลับผมจะเลือก Machair Bay ครับ หลังชิมวิสกี้เสร็จก็ทานอาหารกันที่โรงกลั่นก่อนลุยเป้าหมายต่อไป


หม้อกลั่นWash
หม้อกลั่นเหล้า
ลองชิมเหล้าต้มของนอกดู
SME ชัดๆ



มาชิมเหล้ากันเถอะ

จุดหมายต่อไปนั่งรถออกมาเกือบๆ 30นาทีเพื่อบุกเข้าลุยโรงกลั่น Bruichladdich (อ่านว่า บลุ๊ค-เคอะ-ดิช ผมอ่านผิดมาตั้งนานโดนฝรั่งสอนซะ) โรงกลั่นนี้ผมไม่ได้เข้าไปเที่ยวชมการผลิตครับ ได้แค่ชิมเหล้าเท่านั้น(น่าเสียดายจัง) โดยวิสกี้ที่ Bruichladdich ผลิตส่วนใหญ่จะไม่มีกลิ่นควันครับ แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะครับเพราะทุกวันนี้ทางโรงกลั่นเองได้ผลิตรุ่น Port Charlotte และ Octomore  ที่มีกลิ่นควันออกมาสู่ตลาดแล้วซึ่งชื่อทั้ง 2 ชื่อนี้เคยเป็นโรงกลั่นเหล้าครับแต่ปัจจุบันไม่ได้ผลิตวิสกี้แล้วโดย Port Charlotte เป็นแหล่งผลิตมอลต์เพื่อส่งมาผลิตวิสกี้ที่ Bruichladdich และทั้ง 2 รุ่นนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในตลาดทีเดียว โดยเฉพาะ Octomore ที่อัดกลิ่นควันมาแบบเหนือจินตนาการทลายทุกความเชื่อเดิมๆ ผมคิดว่าหากทางโรงกลั่นมีกำไรมากพอและตลาดวิสกี้ยังโตอย่างต่อเนื่องก็มี โอกาสที่จะฟื้นฟูโรงกลั่น Port Charlotte และ Octomore ให้กลับมากลั่นเหล้าอีกก็เป็นได้ครับ


มาถึงแล้วจ้า
ได้ข่าวว่าเพื่อนๆ หลายท่านอยากโดน Octomore ที่นี่มีเพียบ
นอกเหนือจากรุ่นควันแล้วยังมีรุ่นพิเศษ รุ่นLimited อื่นๆ อีกมากมายจนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวไหนที่ขายๆ อยู่คือรุ่นมาตราฐานของเค้า สำหรับวิสกี้ที่ให้ชิมนั้นมี 3ตัวและ Gin อีก 1ตัวครับ มีค่าใช้จ่าย 5ปอร์นครับ โดยตัวแรกที่ลองคือ Laddie 10ปีครับ ตัวนี้รสชาติอ่อน กลิ่นไปทางหญ้าแห้งๆ เปลือกมะนาว หอมสมุนไพร จบแบบเงียบๆ ครับต่อมาเป็น Port Charlotte The Peat Project ตัวนี้กลิ่นควันมาเยอะกำลังดี ผสมมากับกลิ่นเลมอน จบไปแบบกลางๆ ดื่มเพลินดีครับ ตัวสุดท้ายเป็น Highlight ของวันนี้ครับคือ Carnival of Malt 21ปี (กินได้ที่นี่เท่านั้นครับถ้าชิมแล้วชอบก็ซื้อกลับได้ Limited 700ขวดครับ) รสหวานนำมาเลย กลิ่นลูกพรุน ลูกเกต Rum ฉ่ำมากบอร์ดี้แน่นๆ สัมผัสนุ่มนวลแต่แอบเผ็ดนิดๆ แม้จะไม่ควันแต่สำหรับผมถือว่าผ่านครับเพราะเอกลักษณ์ชัดเจนมากครับ หลังจากชิมเหล้าและซื้อของเป็นที่พอใจแล้วก็ถึงเวลาเดินทางสู่โรงกลั่นต่อไป



รุ่นต่างๆ มากมาย



Port Charlotte The Peat Project ถ้าซื้อที่นี่ราคาดีจริงๆ น่าเอามาเป็นเหล้าสามัญประจำบ้าน
Carnival of Malt 21ปี กินจากถังนี้แล
นั่งรถชมวิวเกือบๆ 1ชั่วโมงเราก็กลับมาถึง Bowmore แสดงว่าเย็นนี้แหละเราจะได้บุกเข้าตีโรงกลั่นประจำเมืองกัน ต้องขอบอกว่าสำหรับ Islay แล้ว Bowmore เป็นโรงกลั่นโปรดของผมเลยหล่ะครับเพราะเป็นโรงกลั่นของ Islay ที่เก่าแก่และ ที่สำคัญเหนือความเก่าคือรสชาติดีราคาไม่แพงจัดหาง่ายต้องยอมรับเลยครับว่า คนญี่ปุ่นนี่เก่งจริงๆ(ปัจจุบัน Bowmaore ถือหุ้นใหญ่โดย Suntory ครับแต่คนไทยก็ไม่น้อยหน้านะครับลองหาข้อมูลดูจะทราบว่าโรงกลั่นเหล้าใน สก๊อตแลนด์บางโรงมีเจ้าของเป็นบริษัทของคนไทยครับ)
พามาดูวัวซะงั้น Scotch Beast
ถึงแล้ว Bowmore ที่รัก

เข้าไปด้านในก็เป็นร้านขายของครับ มีทั้งเหล้า ของที่ระลึก มีแยมและขนมที่ทำจากเหล้าด้วยครับ ถ้ามีน้ำหนักโหลดกลับมาได้คงโหลดกันกระจายครับเพราะไอ้พวกนี้ทั้งกินที่ทั้ง หนักเลยต้องทำใจผ่านไป เดินชมร้านซักพักก็ได้เวลาเข้าไปเที่ยวด้านในกัน สำหรับค่าใช้จ่าย...ฟรีครับ พี่คนขับรถบอกว่าพอเที่ยวชมเสร็จก็มีชิมเหล้าฟรีอีก 1ตัวแล้วแต่ดวงว่าจะได้ชิมอะไรอะไรมันจะดีขนาดนี้ เค้าแนะนำว่าชิมแล้วอย่าขอเพิ่มนะครับเสียมารยาท




ของที่มีขายกันแบบพื้นๆ ในบ้านเขา(บ้านเราเรียกว่า rare items)


เอาหล่ะบุกเข้าพร้อมผู้บรรยายสาวห้องแรกที่ไปดูคือห้องทำมอลต์ครับ คือการทำมอลต์จะเริ่มจากการเลือกเมล็ดข้าวBarley ที่มีคุณภาพนำไปเก็บไว้ในที่ที่มีสภาพวะเหมาะสมแก่การเจริญเติบโต ทำให้ภายในเมล็ดเกิดกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลสร้างพลังงานดันให้ต้น อ่อนงอกออกมาพอได้มอลต์แล้วก็จะนำไปทำให้แห้งด้วยการรมควันครับ ซึ่งการรมควันผมคิดว่าเป็นการไล่ความชื้นไม่ใช่การทำให้มอลต์สุก มอลต์ที่ได้จึงมีความแห้งลองชิมดูเนื้อละเอียดรสชาติหวานแถมยังมีกลิ่นควัน อีก ต่อมาก็เดินไปดูเตาเผา Peat ซึ่งอยู่ด้านล่างครับเพื่อให้ควันขึ้นไปสู่ห้องทำมอลต์ด้านบนได้โดยตรง หลังจากนั้นก็ไปดูการทำ wash และการกลั่นซึ่งกระบวนการก็จะคล้ายกับ Kilchoman แต่จะสังเกตุได้ว่าที่นี่มีจำนวนของถัง wash และหม้อกลั่นมีมากกว่า ทำให้ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ wash ตั้งแต่เพิ่งเติมยีสใหม่ๆ-เริ่มมีฟอง(คือยีสจะกินน้ำตาลเกิดแอลกอฮอล์และ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่มาของฟองนั่นเอง)-จนสงบนิ่ง ส่วนมอลต์ที่เหลือจากการผลิตก็จะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์เพราะฉะนั้นมาที่นี่ก็ ต้องไม่พลาดเนื้อวัวกับเนื้อแกะครับ


มอลต์เมื่อรมควันมาแล้วบีบๆ ดูมันเป็นผงเลย มีรสหวานแถมกลิ่นควันด้วยน่าเอามากินกับนม
เตาเผา Peat ชั้นล่างสุดจ้า
wash ที่ยีสกำลังทำงาน ห้องนี้กลิ่นจะเป็นเอกลักษณ์มากๆ ไม่ชินอาจมีอาเจียนได้ครับ
wash ที่ยีสเริ่มอิ่มแล้ว

หม้อกลั่นขนาดใหญ่เรียงราย
เมื่อเดินดูจนทั่วแล้วก็ไปที่ห้องที่เก็บถังบ่มวิสกี้ที่นี่ใช้ถังหลาย ประเภทครับเด่นๆ ก็ ex-bourbon กับ ex-sherry ถังทั้งหมดจะไม่ได้เก็บอยู่ที่นี่จะถูกย้ายไปที่โรงเก็บที่อยู่ใกล้ๆ กัน เมื่อดูจนทั่วแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย(โดยเฉพาะพี่รถถังรัสเซียคือแกตัว ใหญ่มากนั่งรถล้นเบาะดื่มทั้งวันแบบ non-stop อาวุธประจำกายเหล้า 1แบน จอกเหล้า1เป็ค ถั่ว1ถุง แต่แกนิสัยดีชอบชวนผมดื่มเหมาะเป็นหน่วยทะลวงป้อม)  วันนี้ดวงพอมีเค้าจัดให้ชิม Bowmore 15ปี Darkest กลิ่นนำควันเลยครับ รสหวาน,เผ็ด กลิ่นดาร์คช็อกโกแลต กาแฟคั่ว จบแบบสั้นๆ บอร์ดี้บางๆ ก็จัดว่าดื่มง่ายอีกตัวแต่สำหรับผมว่าบอร์ดี้อ่อนไปนิด พูดกันตรงๆ เถอะตัวเดียวมันจะไปพออะไรบุกมาถึงถ้ำเสือแล้ว ผมก็เดินไปดูที่บาร์ก็มีอยู่หลายตัวครับราคาต่อแก้วก็ไม่แพงผมก็เลยสั่ง Small Batch Reserve ทางโรงกลั่นใจดีแถมให้ฟรีซะงั้น กลิ่นควันนำมาอ่อนกว่า Darkest รสเผ็ดผสมมากกับกลิ่นหอมๆ ของสมุนไพรแนวชะเอม อบเชยให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วงนาทีทองแถม Tempest batch 4 อีกตัวอันนี้มาหนักเลยครับกลิ่นควันมากลางๆ แต่ยังเป็นแนวคลายตัว Small Batch เผ็ดร้อนแสบลิ้นลากยาวไม่มีวันลืมใครสายแข็งก็จัดไปครับ (ต้องขอบอกว่าไม่ค่อยละเอียดนะครับเพราะชั่วโมงนี้ลิ้นด้านหน้าตึงแล้วครับ) ผมแวะถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก่อนหาอาหารเย็นทานแล้วเข้าที่พักรีบนอนสู้ศึกวัน ถัดไปครับ

เอ๊ะ ทำไมมี 2ตัวนี้มาวางอยู่ในห้องบ่ม...จะสื่ออะไรหนอ
ถังบ่มที่มีอายุมากที่สุดในห้องบ่มนี้ แต่เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่ามีที่เก่ากว่านี้อีกแต่อยู่อีกที่นึง
Bowmore 15ปี Darkest

Small Batch Reserve
Tempest batch 4 อารมณ์นี้อยากให้เพื่อนๆ มาด้วยกันจริงๆ ครับ รับรองว่าคุยกันสนุกเลยครับ



หลังจากกินฟรีแล้วก็มาทำงานใช้หนี้
หลังอาหารจัด Octomore 3_152 ควันทะลักไม้ไหม้ ยางไหม้ ทินเนอร์ หนัง น้ำยาล้างเล็บ เต็มๆ จบไป Dry บอกได้คำเดียวถ้าเคยลองแล้วแนวสะสมน่าซื้อเก็บ แนวศึกษาไม่อร่อยอย่างที่คิด
 ติดตามตอนจบ เร็วๆ นี้ครับ หรือติดตามได้ที่ http://www.montfort27.com/forum/index.php?topic=2174.0 และ https://www.facebook.com/yenyumramsura