พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

Lagavulin 16 Yo


สวัสดีเพื่อนๆ ทุกท่านหลังจากที่ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดทำให้ไม่ค่อยได้มีเวลารีวิวสุราอีกทั้งยังห่างหายจากตู้เก็บเหล้าที่บ้านทำให้การหาเหล้าซักตัวมันยากเย็นแสนเข็นยิ่งนัก วันนี้ผมได้กลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ ทำให้ได้เปิดตู้เหล้าอีกครั้งหลังจากถูกปิดผนึกไปนานเกือบ 2 เดือน


วิสสะกี้วันนี้ที่ผมจะรีวิวคงไม่พ้นตัวที่ผมเปิดไว้เมื่องานmeetingคราวที่แล้ว ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากเพื่อนสมาชิกทุกคน(ทำให้คนที่หิ้วไปเปิดยืดไปด้วย) แต่หลังจากจบงานนั้นผมก็เฝ้ารอวันที่จะได้กลับมาชิมแบบจริงๆ จังๆ อีกครั้งครับ
เข้าเรื่องเลยหล่ะกันวิสสะกี้ที่ผมพูดถึงนี้คือ Lagavulin 16ปี ผมเชื่อว่าคนที่เพิ่งเริ่มศึกษาเรื่องเหล้าทั้ง Single malt หรือ Blend รวมถึงเหล้าประเภทอื่นและได้มีการค้นคว้าจากอากู๋รับรองว่าต้องเห็นชื่อ SM ยี่ห้อนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงไปในทางที่ดีในหลายๆ บทความ ซึ่งผมเองก็คงไม่พลาดที่จะหาความจริงในเรื่องนี้
Appearance: สีทองเข็มไปทางสีทองแดง (chestnutploroso sherry) ขาเล็กยาวไหลเชื่องช้า
Aroma: กลิ่นควันขี้เถ้าPeat แบบไม่ต้องสืบ ผสมกลิ่นหอมจางๆ คล้ายคลาเมล
Taste: หวาน เค็มนิดๆ มีกลิ่นทะเล ฝาดตรงปลายนิดหน่อย นุ่มลิ่นแม้จะเผ็ดนิดหน่อย กลิ่นควันมาเต็มๆ และมีสัมผัสหวานมันคล้ายเนย
With Water: รสหวานมาและมีกลิ่นควันจางๆ
Finish: ทิ้งรสหวานและฝาดปลาย บวกbody เข็มข้น สวนกับกลิ่นควันที่ตีกลับขึ้นมายาวๆ กำลังดี



สรุป: ผมเคยรีวิวตัว 12 ปีไปแล้ว แต่มาตัว 16ปีนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างครับ มีทั้งความละมุนที่มากขึ้นไม่กระด้างบวกความหวานมันรวมกับกลิ่นควันที่โดดเด่นอยู่แล้ว ผมเชื่อว่า Lagavulin 16ปี ตัวนี้ไม่ได้มีดีที่คนอวยแต่มีดีคุณภาพจริงๆ ใครชอบแนวหวานมันแล้วยังควันอีก เจอเจ้านี่ที่ไหนและคิดว่าราคาไม่ใช่อุปสรรค์จัดเข้าบ้านมาเลยครับ และวิธีดื่มที่ผมแนะนำให้นั่งในห้องแอร์เย็นๆ เทวิสกี้ใส่ประมาณ 5cl ทิ้งแก้วไว้คุณจะได้กลิ่นควันโชยมา รอให้แก้วเริ่มเย็นก็จัดการยกดื่มได้เลยครับ รับรองว่าเพลินอย่าบอกใครเชียว

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

Johnnie Walker Blue Label

ภาวะเหล้าแห้งในบ้านทำให้เข้าสู่ภาวะจำยอม ต้องขุดเจ้าขวดนี้ขึ้นมาดื่มจนได้ครับ จิ้มมม
เหล้าบ้านนายใหญ่หมดไปเมื่อหลายวันก่อน มองในตู้เห็นเจ้าขวดนี้อายุตั้งแต่ปี 2549 ผ่านเข้ามา 6 ปี
เกรงว่าคุณภาพมันจะไปซ่ะก่อน แล้วจะเจอภาวะเหมือนกับเจ้า Glen Elgin ที่ทำเอาเข็ด เลยตัดใจเปิดซ่ะเลยดีกว่า 

ว่าแล้วก็มาเริ่มกันตามสไตล์ลิ้นบ้านๆ กันเลยก็แล้วกันครับ
เริ่มกันที่สีก่อนก็แล้วกันครับ ออกไปทางทองอำพันดูแล้วสบายตาดีครับ ขานั้นค่อนข้างหนืดไหลช้าลงมาพร้อมๆ กันเลยเชียวครับ


ด้านกลิ่นนั้นผมว่ามันก็หอมดีอยู่ครับ แต่....  มันไม่ไหลมาเรื่อยๆ เหมือนกับพวก SM ครับ 
รินทิ้งไว้ตั้งนานมันยังไม่ยอมมาเตะจมูกผมสักทีอ่ะ   หรือว่าจมูกผมจะโดนควันสุดฮิตที่ลอยอยู่เต็มน่านฟ้าเมืองเชียงใหม่เล่นงานจนเพี้ยนไปแล้วอ่ะ ตายดีก่า

ยกขึ้นมาดมจ่อๆ ถึงได้กลิ่นแนวทางของ Highland เจือด้วยกลิ่นแห้งๆ ของ Speyside คละๆ กันอยู่ครับ
แต่กลิ่นที่ชัดสำหรับผมคือกลิ่นของโอ๊ก กับ Malt ที่ค่อนข้างชัดครับ ตามด้วยกลิ่นวนิลา กับกลิ่นเปรี้ยวนิดๆ ของ Citrus
ผมว่ามันยังมีกลิ่นของน้อง L ด้วยอ่ะครับถ้าเทียบกับ SM หลายตัวที่อยู่ 10 ปีนี่บางตัวแทบไม่มีกลิ่นน้อง L เลยอ่ะครับ โบ๋ววว


รวมๆ ผมว่ามันก็คงประมาณนี้ครับสำหรับเหล้า Blended High-end ขวดนี้ 


คราวนี้มาว่ากันที่รสชาติกันต่อดีกว่าครับ

อืม... จิบแรกรู้สึกได้ถึงความอุ่น ที่ให้ความรู้สึกว่ายินดีต้อนรับ ตามด้วยความหวานนำ จนรู้สึกได้ถึงคำว่าหวานขมนิดๆ 
ลื่นแต่ให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนอยู่ในที burn นิดๆ แต่ไม่มากให้สัมผัสถึงความเปรี้ยวนิด หวานหน่อยที่ผสานกันได้อย่างลงตัว
เนื้อไม่แน่นมากเหมือนกับ SM แต่ก็ประทับใจดี ไม่ผิดหวังครับสำหรับ High-end Blended Whisky ขวดนี้ 
ดีกว่าเจ้า Ballantine's 21 Yo เยอะเชียวครับ จบด้วยความแห้งนิดๆ ควันจางๆ ฉ่ำหน่อยๆ ตบท้ายด้วยน้ำเย็นๆ นี่เยี่ยมไปเลยครับ


สรุปแล้วสำหรับผม เจ้า JW Blue Label ขวดนี้คุ้มค่าสมราคาครับ แต่ถ้าบ่อยๆ คงไม่ไหวครับ
ถึงจะเป็นค่าตัวที่ได้จาก Duty Free ก็เถอะครับ  เก็บไว้ดื่มในโอกาสสำคัญๆ ดีกว่าครับ
ประทับใจกับรสชาติที่ยกดื่มแต่ละครั้งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ 
บางทีได้อโรม่าหอมๆ เหมือน Highland SM 
บางครั้งก็ให้ความรู้สึกแห้งหน่อยๆ ตอนจบเหมือนกับเหล้าจาก Speyside
บางคราวกลับให้กลิ่นควันนิดๆ จากถิ่น Islay รวมๆ แล้วประทับใจดีครับ
แต่.... ด้วยค่าตัวค่อนข้างสูงทั้งในบ้านเรา และตาม Duty Free 
ผมแนะนำว่าจับ SM รุ่นยอดนิยมน่าจะดีกว่าสำหรับคนงบน้อยนะครับ 
แต่ถ้าในโอกาสพิเศษ หรือเพื่อสักครั้งในชีวิตว่าจะสัมผัสกับ High-end Blended Whisky ดีๆ สักตัวผมว่าไม่ควรพลาดกับเจ้า JW Blue Label ขวดนี้ครับ
แนะนำว่าให้หาซื้อ Premium Package ที่มีครบทั้งสี่สีของ JW ก็ได้ครับเพื่อเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าสำหรับคนงบน้อยครับ
เพราะคุณจะได้ลอง Black Green Gold(รุ่นเก่า) Blue ครบทั้งสี่ในราคาประมาณ สองพันกลางๆ ถึงปลายๆ จากตาม Duty Free นะครับ

ปล. 1. ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่รับประกันความถูกต้องเหมือนเช่นเคยนะครับ
ผิดพลาดประการใดขอรับไว้เพียงลำพังครับ 

ปล. 2. ขอบคุณไนท์ด้วยครับ สำหรับแก้วสวยๆ Blue Label อุปกรณ์ประกอบฉากครับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

Jura 10 years old 40%

สวัสดีครับพี่ๆน้องๆ ร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน เนื่องจากผมเองต้องมาทำงานที่ต่างจังหวัดกับภาระหน้าที่ใหม่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาได้เขียนรีวิวสุราซักเท่าไหร่แต่ด้วยความรักในรสสุราและอยากจะสนทนากันพวกเรา ชาวมักเหล้าคลับ ดังการสนาทนาในวงเหล้าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา วันนี้ผมจึงขอเสนอน้อง Jura 10 years มาเล่าสู่กันฟังครับ

Jura เป็นโรงกลั่นที่อยู่บนเกาะที่ชื่อว่า Jura ครับ(ชื่อเดียวกันเลย) เจ้าเกาะนี้จะอยู่ใกล้กับเกาะ Islay ทำให้เหล้าจากโรงกลั่นนี้น่าจะมีสไตย์เหล้าคล้ายๆ กับของ Islay คือเด่นที่กลิ่น Peat และควันตามแบบที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวโรงกลั่นเองไม่ได้ขึ้นกับเครือน้ำเมาใหญ่ๆ จึงน่าจะมีอิสระและเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องของรสชาต

มาทดลองชิมโดยเริ่มจากเทเหล้าลงแก้ววนๆดูทิ้งไว้ซักแป๊ปนึง

Appearance:สีทองเข้มไปทางน้ำตาล (กลุ่มสี russetmuscat) ขาเล็ก-กลางไหลไม่ช้า-ไม่เร็ว

Aroma: กลิ่นไล่มาตั้งแต่วนิลา(อ่อนๆ) น้ำผึ้ง ส้ม มะนาว(ปลายๆ ไม่เด่นมาก)กลิ่นโดยรวมไม่ค่อยเด่นและหนักมากจนเกินไป

Taste: รสหวาน เค็มๆ ฝาดที่ปลายทาง สัมผัสลิ้นเผ็ดร้อน กลิ่นน้ำผึ้งวนิลาอ่อนๆไม่อิ่มเน้น Body ไปทาง Dry ปิดท้ายด้วยควันนิดหน่อยพอได้กล้อมแกล้ม

With Water: รสหวานเค็มเด่น ละมุนลิ้น กลิ่นน้ำผึงเด่นขึ้นมากและยังคงมีควันติดปลายนวม

Finish: ทิ้งกลิ่นควันไว้เด่น(แต่ไม่ใช่ว่าจะมาก)ผสมกับวนิลา+น้ำผึ้งจบไม่ค่อยยาว

สรุป: Jura10years ผมว่าเป็นเหล้าที่มาแบบงงๆ เหมือนกันคือ มันไม่เด่นไปซักด้านรู้สึกเหมือนผสมนู่นนิดนี่หน่อยมาแบบไม่ค่อยจะเต็มอาจจะเป็นที่เหล้าอายุยังน้อยเลยแสดงความห้าวออกมาเต็มที่ทั้งเผ็ดทั้งสด
ผมคิดว่าถ้าบ่มนานอีกหน่อยน่าจะลดความห้าวดื่มสบายลิ้นขึ้นอีกโขโดยรวมตัวนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคาดื่มได้แบบชิวๆแต่จะให้ดีแนะนำให้ผสมน้ำลดความห้าวลงรับรองว่าหล่อขึ้นอีกเยอะหอมนุ่มลิ้นประทับใจแน่นอนครับ