พวกผมแค่ชมชอบในรสชาติของสุรา เรื่องราวที่เขียน เริ่มต้นจากความชอบและความสนใจ ที่นำไปสู่การค้นหา
เมื่อได้รับรู้ และทดลองด้วยตัวเองแล้วก็อยากแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องเดียวกันครับ

ข้อคิดเห็นที่ให้เกี่ยวกับเรื่องการร่ำสุราในแต่ละประเภท เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ได้มาจากการลองของด้วยตัวเอง
ที่แค่อยากรู้ และอยากลองตามประสาครับ ผิดถูกประการใดก็คงไม่สามารถรับรองได้ครับ ขอน้อมรับคำแนะนำ และติชมทุกประการครับ


*** หมายเหตุ *** สงวนสิทธิ์สำหรับการอ่านและนำไปใช้ประกอบบทความเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกอย่างครับ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

Matisse Single Malt Aged 15 Years

นั่งว่างๆ แบบสบายๆ มองไปมองมาหยิบเจ้านี่มาเปลี่ยนบรรยากาศดีกว่า
ข้อมูลจัดว่าค่อนข้างจะน้อย รู้เพียงว่าเป็นเหล้าสาย Highland แค่นั้นเองครับ
ว่าแล้วก็จัดแบบบ้านๆ สไตล์ผมอีกเช่นเคยกันดีกว่าครับ วันนี้ขอออกตัวก่อนว่าดั้นสดนะครับ 
ชิมไปบ่นไปก็แล้วกันครับ ผิดพลาดประการใดก็ขอน้อมรับไว้หมด เช่นเคยตามประสาลิ้นบ้านๆ ครับ 


เริ่มกันที่สีเช่นเคยครับเมื่ออยู่ในขวดที่ปริมาณเยอะ จัดว่าเป็นสีทองแดงเข้มๆ ครับ
แต่เมื่อรินออกมาสีอ่อนลง แต่ก็ยังจัดว่าเป็นสีทองแดงอยู่ครับ
ต่อกันที่ขาเจ้านี่ขาใช้ได้เลยครับ ขาใหญ่ออกหนืดนิดๆ ครับ ไหลช้าตามอายุ น่าจะถึง 15 ปีตามที่ว่าไว้ครับ



ต่อกันที่กลิ่นเลยครับ ทิ้งไว้สักพักกลิ่นอวลใช้ได้เลยครับ กลิ่นโอ๊กจางๆ เจือด้วยน้ำผึ้ง และกลิ่นผลไม้รสเปรี้ยว
ตามเอกลักษณ์ของเหล้า Highland มีครบทุกอย่างครับ รวมทั้งกลิ่นอโรม่าแบบจางๆ
เตรียมตัวลองต่อเลยครับ แค่กลิ่นนี่ก็ใช้ได้แล้วละครับ คงไม่ทำผมผิดหวังเหมือน Glen Elgin นะครับ ชื่อนี้จำฝังใจเลยครับ 
สาบแช่ง


ต่อกันที่รสชาติเลยก็แล้วกันครับ วูบแรกที่ได้ อาการ Burn ค่อนข้างชัดครับ ไม่นิ่มเท่าไหร่ครับ เจ้านี่
แต่ที่ชัดนี่ควันเลยครับ ตามด้วยรสหวานของน้ำผึ้งนิดๆ เจือความเผ็ดหน่อยๆ พร้อมกลิ่นควันจางๆ ฟุ้งอยู่ในปาก ออกจมูกดีครับ
แบบ Neat นี่ก็ถือว่าผ่านครับ แต่ยังมีค้างๆ คาๆ อยู่หน่อยครับ เหมือนกับว่ายังไม่เต็มที่เท่าไหร่ครับ

ด้าน After taste นั้นค่อนข้างยาวพอประมาณครับ มีกลิ่นควันจางๆ ออกโพรงจมูก แต่ไม่ชัดมากเหมือน Laphroaig ครับ
ตามด้วยน้ำเย็นๆ นี่มีอาการหวานฉ่ำๆ อยู่ในปากกำลังดีครับ คล้ายกับตัว Nectar D'or ครับ แต่ไม่ฉ่ำเท่าครับ
คงต้องหาโอกาสลองเพิ่มแบบ On the Rock อีกสักทีครับ ขอไปเตรียม Rock เพื่อซ้ำอีกสักรอบครับ

เหมาะกับการเปลี่ยนบรรกาศดีครับ ถือว่ากลางๆ ครับ ดีกว่า Glen Elgin เยอะเลยครับ
คุ้มค่าตัวปานกลางกับราคาไม่ถึงสองพันได้ SM อายุ 15 ปี
ถ้าเทียบกับสาวๆ นี่เหมือนกับว่าเธอยังไม่ชัดเจนในตัวเองเท่าไหร่ครับ ยังแฝงๆ บางอย่างอยู่ครับ
คงต้องค้นหาเธอต่ออีกสักครั้งครับ ถือว่าคบกันครั้งแรกนี่ก็ชวนให้ค้นหาว่าเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ครับ
แบบว่าน่าคบต่อครับน้องสาวคนนี้



ต่อด้วย Shot ที่สองชักรู้สึกประมาณว่า ถ้าหา Nectar D'or บ้านเราลำบากมากนักเจ้านี่ก็พอแทนได้ระดับหนึ่งครับ
แต่กลิ่นควันนั้นจะแรงกว่า มีอาการ burn ลิ้นมากกว่า แล้วก็กลิ่น Alc นั่นก็แรงกว่านิดหน่อยครับ (ทั้งที่เจ้านี่แค่ 40% Alc ตัว Nectar 46%)
แต่ในเรื่องของความหวานแบบฉ่ำๆ นั้นเจ้านี่ก็ทำได้ค่อนข้างดีครับ พอจะชดเชยข้อด้อยข้างบนได้ระดับหนึ่งครับ



มีโอกาสซ้ำอีกรอบทั้งแบบ on the rock และ ผสมน้ำ ผมว่าเจ้านี่ดื่มได้ทุกแบบครับ ถ้าชอบแบบเย็นๆ นี่ on the rock กำลังดีเชียวครับ สำหรับผมนะ

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

Glenmorangie The Nectar D'or

วันนี้สบโอกาส น้องกวางวัยสิบแปดที่แบ่งไปให้บ้านนายใหญ่หมดพอดี ประกอบกับมีอะหลั่ยแล้วก็เลยเลือกเจ้านี่มาลองซ่ะเลย ช่วยไม่ได้
เช่นเคยเหมือนทุกครั้งนะครับ ไม่รับประกันความถูกต้องกับลิ้นบ้านๆ 
เริ่มที่สีตอนที่อยู่ในขวดออกแนวทองเข้มๆ แต่เมื่อรินลงแก้วสีดูออกทองอำพันดูคล้ายสีน้ำผึ้งนิดๆครับ
ส่วนในเรื่องของขาน้้นค่อนข้างเล็กไม่ใหญ่มาก ไหลไม่เร็วไม่ช้ามากครับ
ต่อกันที่กลิ่นนั้นทำเอาผมอยากลองตั้งแต่เช้าแล้วละครับ ตอนที่เปิดแบ่งให้นายใหญ่นั่นแหละครับ
กลิ่นหอมๆ หวานๆ เจือกลิ่นของผลไม้จำพวกส้ม และกลิ่นช็อกโกแลตบางๆ
เหมือนกลิ่นขนมหวานๆ ผสมผลไม้เปรี้ยวๆ ให้ความสดชื่นดีครับ

มาต่อกันที่รสชาติเลยนะครับ หลังจากลองไปนิดๆ ตอนเทแบ่ง เล่นเอาอยากแต่เช้าเชียวครับ
รสชาติหวานๆ มันฟุ้งค้างอยู่ในปาก จนอยากให้ถึงหัวค่ำเร็วๆ ตอนนี้ได้ลองจริงๆ แล้ว 
เอาล่ะน่ะครับ......

หวานฉ่ำ คล้ายพวกไซรัป เจือกลิ่นควันบางๆ ฟุ้งค้างอวลทั้งปากดีเชียวครับ
ทิ้งความฉ่ำ ไว้ในช่องปากชวนให้อยากตามสไตล์ของเหล้าตระกูลนี้
ไม่มีอาการ burn เลยครับ หวานฉ่ำชวนให้อยากลองเรื่อยๆ เลยครับ

ด้าน After นั้นค่อนข้างยาวเชียวครับ มันฉ่ำอยู่ในปากและคอ ความหวานแบบฉ่ำๆ เวลาที่เรากลิ่นไซรัป ราดลงบนแพนเค้กอ่ะครับ
ตัวนี้บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังคุ้มค่าสมกับการรอคอยเลยล่ะครับ 
ไปล่ะครับวันนี้ขอไปดื่มด่ำ กับความหวานฉ่ำของน้องเขาต่อก่อนนะครับ

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

Ballantine’s 12 year olds Pure Malt 40%


จากที่เคยเล่าถึงยี่ห้อ Ballantine’s กันมาบ้างแล้วก็ขอพูดถึงเจ้านี่แบบเนื้อๆ เลยหล่ะกันครับ Pure Malt ขวดนี้น่าจะเป็นการต่อยอดสู่ตลาดกลุ่ม Malt Lover และกลุ่มนักดื่มที่ต้องการพัฒนารสชาติให้เข้าถึง Malt มากขึ้น ซึ่งหน้าตาของขวดนั้นดูดีกว่าตัว Blend ของยี่ห้อนี้พอสมควรบวกกับราคาที่เอาเป็นว่าจ่ายแบงค์พันได้ตังค์ทอนสำหรับเหล้า Malt เกรด 12 ปีก็ถือว่าน่าลองมิใช่เล่น โดยเจ้านี่อ้างว่าใช้ Malt Whisky จาก 3 แหล่งหลักๆ ใน Scott ได้แก่ Highland, Spyside และ Islay เห็นแล้วยิ่งน่าสนใจเพราะแต่ละแหล่งมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันถ้ามาเอาชนกันแล้วจะเป็นอย่างไรยิ่งน่าคิดหาคำตอบ เพราะงั้นไม่รอช้าเข้าสู่การชิมกันเลยครับ


Appearance: สีทองไปทางเหลือ ขาใหญ่ไหลช้า
Aroma: กลิ่นวนิลา อบเชย ช๊อกโกแล็ต รวมๆเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกหวาน


Taste: รสเผ็ดแอลกอฮอร์นิดหน่อย(อาการburnน้อย) มีกลิ่นหอมหวานของวนิลา มอล์และแอบซ่อนกลิ่นควันไว้เล็กน้อยติดปลายนวม
With Water: รสหวานยังไม่แสดงตัว แต่กลิ่นตอนTeste เปลี่ยนไป คลายกลิ่นพวกคาลาเมล และมีกลิ่นควันจางๆ (ประมาณคาลาเมลกำลังไหม้) ปริมาณกลิ่นไม่มากเท่าไหร่


Finish: ติดมันแบบ butter พอสมควรและทิ้งกลิ่นควันอ่อนๆ ในปาก แต่กลิ่นที่ตีกลับขึ้นมาน้อยมาก จนแทบจะไม่มี


สรุป: เจ้าหมอนี่ตอนทดลองแบบปกติถือว่ายังไม่ประทับใจเท่าที่ควรเพราะถ้าเทียบกับ JW Black แล้วผมยังเอียงไปทาง JW Black มากกว่าเพราะ body ของ Black ให้ความรู้สึกว่ามาเต็มกว่า แถมยังมี After Taste ที่น่าประทับใจกว่า แต่ถ้าลองแบบ on the rock แล้ว Ballantine’s ขวดนี้จะเด่นกว่ามากความเย็นของน้ำแข็งสามารถดึงความหอมหวานออกมาได้อีกขั้น ซึ่งทุกครั้งที่ยกแก้วขึ้นจิบจะได้รสชาติเปลี่ยนไป ทำให้ต้องยกขึ้นมาบ่อยๆ แต่น่าเสียดายที่ After Taste น้อยไปหน่อย ทำให้ความประทับใจหลังการดื่มน้อยตามไปด้วย